คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5203/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

วันที่โจทก์ส่งมอบงานถมดินและปรับพื้นที่ย่อมไม่เป็นการแน่นอนว่าจำเลยที่ 1จะรับมอบงานหรือไม่ มิใช่ว่าเมื่อโจทก์ส่งมอบงานแล้วจำเลยที่ 1 จะต้องชำระสินจ้างให้แก่โจทก์ทันทีเพราะงานที่ส่งมอบอาจมีข้อบกพร่องอันจะต้องแก้ไขเสียก่อน โจทก์จึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 รับมอบงานเป็นต้นไป จำเลยที่ 1ลงชื่อในบันทึกท้ายหนังสือของคณะกรรมการตรวจรับงานเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม2539 แต่ก็ยังมีข้อเรียกร้องให้โจทก์ปรับถนนให้เรียบร้อยเสียก่อน แสดงว่าการรับมอบงานของจำเลยที่ 1 ไม่เร็วไปกว่าวันที่ 3 พฤษภาคม 2539 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 24เมษายน 2541 จึงยังไม่พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการซื้อขายที่ดินจำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2539 จำเลยทั้งสามร่วมกันว่าจ้างโจทก์ให้ถมดินและปรับพื้นที่ภายในที่ดินโฉนดเลขที่ 62 และเลขที่ 384 เนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ เป็นเงินค่าจ้าง 990,000 บาท โจทก์ขาดเงินทุนหมุนเวียนในการทำงานจึงขอเบิกค่าจ้างล่วงหน้าจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเงิน 100,000 บาท โดยโจทก์มอบโฉนดที่ดินเลขที่ 25888 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยึดไว้เป็นประกัน เงินจำนวนดังกล่าวตกลงว่าให้คิดหักจากเงินค่าจ้างเมื่อส่งมอบงานแล้วและจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องคืนโฉนดที่ดินให้โจทก์ โจทก์เข้าถมดินและปรับที่ดินให้จำเลยทั้งสามจนแล้วเสร็จ โดยส่งมอบงานและจำเลยทั้งสามตรวจรับงานจ้างดังกล่าวเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2539 โจทก์ได้รับเงินค่าจ้างจากจำเลยทั้งสามบางส่วนรวม 500,000 บาท และที่เบิกล่วงหน้าอีก100,000 บาท รวมเป็นเงินค่าจ้างที่โจทก์ได้รับแล้ว 600,000 บาท จำเลยทั้งสามคงค้างชำระค่าจ้างโจทก์อีก 390,000 บาท ภายหลังการตรวจรับงานจำเลยทั้งสามร่วมกันจ้างให้โจทก์ส่งวัสดุก่อสร้างจำพวกหิน ทราย เพื่อใช้ในงานก่อสร้างของจำเลยทั้งสามโจทก์ได้ส่งวัสดุก่อสร้างให้จำเลยทั้งสามรับไปครบถ้วนแล้วคิดเป็นเงิน 78,493บาท รวมเป็นเงินค่าจ้างที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ 468,493 บาท ก่อนฟ้องโจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงิน 468,493บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์ นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2539ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ทำงานเสร็จจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน69,589 บาท ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 25888 ตำบลลาดใหญ่ อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม แก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะฟ้องเกิน 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบงาน จำเลยทั้งสามไม่เคยว่าจ้างโจทก์ส่งวัสดุก่อสร้างจำพวกหินและทรายเพื่อใช้ในงานก่อสร้างของจำเลยทั้งสาม และไม่เคยได้รับวัสดุก่อสร้างจากโจทก์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 363,612.50 บาท และให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 78,493 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 3 จะต้องชำระนับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คืนโฉนดที่ดินเลขที่ 25888 ตำบลลาดใหญ่ อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม แก่โจทก์และให้จำเลยที่ 1และที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์313,612.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2539จนกว่าจะชำระเสร็จค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับให้จำเลยที่ 2คืนโฉนดที่ดินเลขที่ 25888 ตำบลลาดใหญ่ อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์โต้เถียงเลยว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ คงอุทธรณ์รวมกันมากับจำเลยอื่นในเรื่องความรับผิดของจำเลยอื่นเท่านั้น ต้องถือว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนความรับผิดของตนเอง คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและไม่มีประเด็นเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา เนื่องจากเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีสำหรับจำเลยที่ 3 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7และต้องคืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาแก่จำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นมิได้สั่งคืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาแก่จำเลยที่ 3 ย่อมเป็นการไม่ชอบ คดีคงมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 1 เท่านั้น ซึ่งข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่าเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2539 จำเลยที่ 1 ลงชื่อในฐานะผู้ว่าจ้างในหนังสือสัญญาจ้างเหมาถมดินลูกรัง – หินผุ ตามเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งมีความว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ให้ถมและปรับพื้นที่ด้วยลูกรังหรือหินผุภายในที่ดินโฉนดเลขที่ 62 และเลขที่ 384ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม ในราคาไร่ละ 165,000บาท โดยโจทก์นำโฉนดที่ดินเลขที่ 25888 ไปมอบให้จำเลยที่ 2 บิดาของจำเลยที่ 1ยึดถือไว้เป็นประกันการทำงานตามสัญญา ต่อมาวันที่ 2 เมษายน 2539 โจทก์มีหนังสือขอส่งมอบงานตามเอกสารหมาย จ.5 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับงานขึ้น คณะกรรมการดังกล่าวมีความเห็นว่า บริเวณพื้นที่ถมดิน รังวัดเนื้อที่ได้ 5 ไร่ 3 งาน53 ตารางวา ระดับพื้นดินถมโดยเฉลี่ยได้ระดับตามที่กำหนด ดินถมใช้ดินเหลืองถมและใช้หินผุทับบน หนาประมาณ 20 เซนติเมตร ตามเอกสารหมาย จ.8 ซึ่งลงวันที่ 24เมษายน 2539 ท้ายเอกสารฉบับนี้มีบันทึกของจำเลยที่ 1 ความว่าให้ปรับในส่วนถนนให้เรียบร้อยตามข้อกำหนดของสัญญาให้ถูกต้องแล้วส่งมอบงานใหม่ซึ่งลงวันที่ 3พฤษภาคม 2539…

ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ผิดสัญญาเพราะใช้ดินเหลืองถมที่ดินมิใช่ดินลูกรังหรือหินผุตามสัญญานั้น เห็นว่าตามหนังสือของคณะกรรมการตรวจรับงานตลอดจนบันทึกของจำเลยที่ 1 ท้ายหนังสือดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.8 มิได้มีการกล่าวอ้างเลยว่าโจทก์ผิดสัญญาเพราะใช้ดินเหลืองถมที่ดินบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบันทึกของจำเลยที่ 1 ท้ายเอกสารดังกล่าวคงมีข้อความเพียงว่าให้โจทก์ปรับในส่วนถนนให้เรียบร้อยตามข้อกำหนดของสัญญาให้ถูกต้องแล้วส่งมอบงานใหม่ อันมีความหมายเพียงว่างานมีข้อบกพร่องเฉพาะเรื่องของถนนเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของนายศุภโชค บัวทอง พยานโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการตรวจรับงานของจำเลยที่ 1 คนหนึ่งที่เบิกความว่าที่ต้องปรับใหม่เพราะผิวถนนขรุขระ งานอื่นที่โจทก์ทำถูกต้อง มีเพียงผิวถนนเท่านั้นที่ต้องแก้ไข แสดงว่าการที่โจทก์ใช้ดินเหลืองถมที่ดินบางส่วนนั้น จำเลยที่ 1 มิได้ถือเป็นการผิดสัญญา ที่จำเลยที่ 1 อ้างถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ตลอดจนการแปลความหมายของข้อความต่าง ๆ เพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ถือเอาเรื่องดินเป็นสาระสำคัญของสัญญานั้น ไม่ปรากฏเลยว่าจำเลยที่ 1 แสดงเจตนาดังกล่าวให้โจทก์หรือผู้อื่นทราบ เพราะตลอดเวลาที่โจทก์ทำงานตามสัญญา จำเลยที่ 1หรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 ก็มิได้ทักท้วงหรือแจ้งให้โจทก์แก้ไขในเรื่องดินแต่อย่างใดกรณีต้องถือว่า นอกจากการปรับถนนให้หายขรุขระแล้วจำเลยที่ 1 ยอมรับงานของโจทก์ทั้งหมด จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระค่าจ้างแก่โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาเพราะใช้ดินเหลืองถมที่ดินบางส่วนหาได้ไม่ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องเกินกว่า 2 ปีนับแต่วันที่ 2 เมษายน 2539 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ส่งมอบงานอันอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้นั้น เห็นว่า วันที่โจทก์ส่งมอบงานย่อมไม่เป็นการแน่นอนว่าจำเลยที่ 1 จะรับมอบงานหรือไม่ มิใช่ว่าเมื่อโจทก์ส่งมอบงานแล้วจำเลยที่ 1 จะต้องชำระสินจ้างให้แก่โจทก์ทันทีเพราะงานที่ส่งมอบอาจมีข้อบกพร่องอันจะต้องแก้ไขเสียก่อน โจทก์จึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 รับมอบงานเป็นต้นไป ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ลงชื่อในบันทึกท้ายเอกสารหมาย จ.8 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2539 แต่ก็ยังมีข้อเรียกร้องให้โจทก์ปรับถนนให้เรียบร้อยเสียก่อน แสดงว่าการรับมอบงานของจำเลยที่ 1 ไม่เร็วไปกว่าวันที่ 3 พฤษภาคม 2539 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2541 จึงยังไม่พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ ฟ้องโจทก์ย่อมไม่ขาดอายุความฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 8,000 บาท แทนโจทก์และให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยที่ 3 ค่าทนายความชั้นฎีกาสำหรับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ

Share