คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 520/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลรัษฎากรมาตรา78 และบัญชีอัตราภาษีการค้าลำดับที่12 ถือว่าการประกอบกิจการให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเป็นการประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์อย่างหนึ่ง
แม้โจทก์ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์จะให้ลูกค้ากู้ยืมเงินโดยจำกัดตัวบุคคลผู้กู้ และมีเงื่อนไขในการกู้ว่า ต้องนำเงินกู้นั้นไปปฏิบัติตามโครงการส่งเสริมการค้าของโจทก์ก็ตาม ก็ย่อมไม่พ้นจากการประกอบธุรกิจในการให้กู้ยืมเงิน เพราะถึงอย่างไรโจทก์ก็ยังต้องการดอกเบี้ยจากผู้กู้อยู่นั่นเองเมื่อการให้กู้ยืมเงินของโจทก์เป็นการประกอบกิจการโดยปกติในทางการค้าของโจทก์ จึงถือเป็นกิจการของผู้ที่ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าร้อยละ2.5 ของค่าดอกเบี้ยที่ได้รับ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2525)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบธุรกิจการค้าหลักโดยปกติคือการนำเข้าผลิตและจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ เพื่อเป็นการส่งเสริมการจำหน่ายรถยนต์ของโจทก์ โจทก์ได้ให้เอเย่นต์หรือลูกค้าจำหน่ายรถยนต์ของโจทก์กู้เงินไปสร้างโชว์รูมและศูนย์บริการ ขยายโรงงานประกอบรถยนต์ โดยมีเงื่อนไขบังคับว่าเมื่อกู้ไปแล้วจะต้องปฏิบัติตามโครงการดังกล่าวจะนำเงินที่กู้ไปใช้ในกิจการอื่นไม่ได้ โจทก์มิได้มุ่งหากำไรจากดอกเบี้ย ทั้งโจทก์มิได้รับฝากเงินจากบุคคลทั่วไป โจทก์ให้กู้โดยใช้เงินทุนและผลกำไรของโจทก์เอง การให้กู้ของโจทก์จึงมิใช่กิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์อันจะต้องเสียภาษีการค้าประเภทธนาคารตามประมวลกฎหมายรัษฎากร ระหว่างเดือนธันวาคม 2517 ถึงเดือนกันยายน 2520 โจทก์ให้กู้เพียง 23 ราย ได้รับดอกเบี้ยเป็นเงิน 6,095,140.77บาท ต่อมาวันที่ 28 กันยายน 2521 โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินภาษีการค้าจากเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1ตามแบบ ภ.ค.8 ให้โจทก์เสียภาษีการค้าเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีบำรุงเทศบาลอีกรวมเป็นเงิน 377,853.51 บาท โจทก์ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ แต่ให้ลดเบี้ยปรับและภาษีบำรุงเทศบาลลงคงเหลือค่าภาษีที่โจทก์ต้องชำระเป็นเงิน 294,045.34 บาท โจทก์เห็นว่าคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ถูกต้อง จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้ารายนี้ให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยเสีย

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า พฤติการณ์ที่โจทก์นำเงินออกให้กู้โดยได้รับดอกเบี้ยจากผู้กู้เป็นการแสวงหากำไรจากดอกเบี้ย ทั้งการให้กู้ยืมเงินก็เป็นวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการค้าของโจทก์ ดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับเป็นจำนวนถึง 6,095,140.77 บาท ถือได้ว่าโจทก์ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์จึงต้องเสียภาษีการค้า ขอให้ยกฟ้อง

วันนัดสืบพยาน โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์ประกอบกิจการค้ารถยนต์ โจทก์ไม่ได้ให้บุคคลทั่วไปกู้เงินแต่ให้กู้เฉพาะลูกค้าที่ซื้อรถไปจำหน่ายเพื่อสร้างศูนย์บริการหรือต่อตัวถังรถ โจทก์ไม่เคยรับฝากเงินจากบุคคลใด หนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับของโจทก์ระบุว่าโจทก์ประกอบกิจการค้าโดยมีวัตถุประสงค์ให้กู้เงินหรือให้สินเชื่ออย่างอื่นด้วย แล้วโจทก์จำเลยแถลงไม่สืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้า และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสี่ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลรัษฎากรมาตรา 78 บัญญัติให้ผู้ประกอบการค้าตามที่ระบุในบัญชีอัตราภาษีการค้ามีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับของทุกเดือนภาษีตามอัตราในบัญชีอัตราภาษีการค้า และตามบัญชีอัตราภาษีการค้าลำดับที่ 12 แห่งประมวลรัษฎากรได้ระบุการค้าประเภทธนาคารไว้หลายชนิดจะเห็นได้ว่าการประกอบกิจการให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ย เป็นการประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์อย่างหนึ่งโดยกฎหมายได้ยกตัวอย่างการประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ไว้โดยชัดแจ้งว่า เช่น ให้กู้ยืมเงิน ฉะนั้นถ้าหากผู้ประกอบการค้าใดได้กระทำกิจการให้กู้ยืมเงินโดยปกติก็ต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 2.5ของค่าดอกเบี้ยที่ได้รับ แต่ถ้าให้กู้ยืมโดยไม่ปกติก็ไม่ต้องเสียภาษีการค้าแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า การให้กู้ยืมเงินของโจทก์เป็นการประกอบกิจการโดยปกติในทางการค้าของโจทก์อย่างหนึ่ง นอกเหนือจากการจำหน่ายรถยนต์

ที่โจทก์อ้างว่า โจทก์ให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมการจำหน่ายรถยนต์ของโจทก์เพราะได้มีการจำกัดตัวบุคคลผู้กู้ว่า ต้องเป็นเอเย่นต์หรือลูกค้าจำหน่ายรถยนต์ของโจทก์และการกู้ก็มีเงื่อนไขบังคับว่าต้องปฏิบัติตามโครงการที่โจทก์กำหนดขึ้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะจำกัดตัวบุคคลผู้กู้และมีเงื่อนไขการกู้ว่าต้องนำเงินที่กู้ไปปฏิบัติตามโครงการส่งเสริมการค้าของโจทก์อย่างใดก็ตาม ก็ย่อมไม่พ้นจากเป็นการประกอบธุรกิจในการให้กู้ยืมเงินเพราะถึงอย่างไรโจทก์ก็ยังต้องการดอกเบี้ยจากผู้กู้อยู่นั่นเอง ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการให้กู้ยืมเงินของโจทก์เป็นการประกอบกิจการโดยปกติในทางการค้าของโจทก์เช่นนี้ จึงถือเป็นกิจการของผู้ที่ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าร้อยละ 2.5 ของค่าดอกเบี้ยที่ได้รับ ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าในประมวลรัษฎากรประเภทการค้าที่ 12 ธนาคาร ชนิด 1

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share