แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่พิพาทระหว่างล. กับจำเลยภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนคือวันที่โจทก์ฟ้อง ล. กับจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่าร่วมกันฉ้อโกงโจทก์เกี่ยวกับที่พิพาท คดีของโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องตาม ป.พ.พ. ม.240
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 20218 ตำบลนางแก้ว อำเภอโพธารามจังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน 72 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ยกให้นายเล็ก แสงศูนย์ หลานโจทก์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2515 โดยไม่มีค่าตอบแทนและนายเล็กรับรองว่าจะอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ไปจนตลอดชีวิต ต่อมานายเล็กประพฤติเนรคุณต่อโจทก์และโจทก์ได้ฟ้องนายเล็กต่อศาลจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2520 ขอถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ ศาลจังหวัดราชบุรีพิพากษาเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2520 ให้นายเล็กโอนที่ดินดังกล่าวคืนให้โจทก์ หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา คดีถึงที่สุดแล้วที่พิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2520 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยากันสมคบกับนายเล็กทำนิติกรรมรับโอนที่ดินแปลงพิพาทโดยการซื้อขายจากนายเล็กต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี โดยทราบอยู่แล้วว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เป็นการร่วมกันฉ้อโกงโจทก์ นายเล็กไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ ไม่มีอำนาจจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยทั้งสองได้ และโจทก์อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิที่ดินดังกล่าวได้ก่อน จำเลยทั้งสองไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงพิพาท ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์การทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่างนายเล็กกับจำเลยทั้งสอง ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2520 เป็นโมฆะเพราะกลฉ้อฉล และให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวกลับมาเป็นของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองเพิกเฉยก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้รับโอนที่ดินโดยการซื้อจากนายเล็กผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในโฉนดที่ดินโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนเป็นเงิน 40,000 บาท และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2520 โดยไม่ทราบว่าโจทก์ฟ้องคดีขอถอนคืนการให้จากนายเล็ก จำเลยทั้งสองมิได้สมคบกับนายเล็กฉ้อโกงโจทก์โจทก์ทราบถึงการที่นายเล็กโอนขายที่ดินแปลงพิพาทให้จำเลยทั้งสองตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2520 โจทก์ได้ฟ้องนายเล็กและจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดราชบุรีหาว่าร่วมกันฉ้อโกงโจทก์ ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้รับโอนที่ดินแปลงพิพาทมาโดยไม่สุจริต จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญาดังกล่าวและโจทก์ฟ้องเพิกถอนคดีนี้เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่า จำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินแปลงพิพาทจากนายเล็ก โดยทราบอยู่แล้วว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เป็นการร่วมกันฉ้อโกงโจทก์ โจทก์อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิที่ดินดังกล่าวได้ก่อน การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ฟ้องของโจทก์จึงเป็นกรณีขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทั้งมาตรา 237 และมาตรา 1300 แต่ขณะที่จำลยทั้งสองรับโอนที่ดินแปลงพิพาทจากนายเล็ก ศาลยังมิได้พิพากษาให้นายเล็กโอนที่ดินดังกล่าวคืนให้โจทก์ โจทก์จึงมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300 คดีของโจทก์ต้องด้วยมาตรา 237 แต่การฟ้องร้องขอเพิกถอนนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉลนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 ห้ามมิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาที่เจ้าหนี้ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนหรือพ้นสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น ปรากฏว่านายเล็กได้โอนขายที่ดินแปลงพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2520 และโจทก์ยื่นฟ้องนายเล็กกับจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาหาว่าร่วมกันฉ้อโกงโจทก์เกี่ยวกับที่ดินแปลงพิพาทต่อศาลจังหวัดราชบุรีเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2520 กรณีถือได้ว่าโจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉลตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2520 โจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนายเล็กกับจำเลยทั้งสองภายในหนึ่งปี นับตั้งแต่วันที่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามฟ้องร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้อที่ว่าจำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินแปลงพิพาทจากนายเล็กโดยไม่สุจริตต่อไปอีกฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน