คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5198/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่โจทก์จะถอนฟ้องคดีแพ่งหรือไม่ เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะกระทำได้แต่อยู่ในดุลพินิจของศาลว่าสมควรจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้หรือไม่ โดยให้ศาลคำนึงถึงความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันในเชิงคดีเท่าที่ต่างดำเนินคดีต่อสู้กันมา
คดียังไม่มีการนำพยานของโจทก์และจำเลยเข้าสืบเพื่อเป็นการสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องและข้อเถียงตามคำให้การของฝ่ายตนโดยศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก แต่ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีหลังจากนั้นมีการขอเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์อีกถึง 10 นัด จนถึงนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นนัดที่โจทก์ทั้งห้าขอถอนฟ้องซึ่งตลอดเวลาดังกล่าวทั้งโจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสามได้ขอเลื่อนคดีด้วยเหตุที่ขอเจรจาต่อรองเพื่อตกลงกัน แม้ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ ก็หาทำให้ฝ่ายใดต้องเสียเปรียบในเชิงคดีไม่ ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 แล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 21313 ทางทิศใต้กว้าง 5 เมตร ตลอดแนวที่ดินเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งห้ากับพวก ให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินดังกล่าว ณ สำนักงานที่ดิน ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันพิพากษาหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนและให้จำเลยทั้งสามร่วมกันนำดินลูกรังลงทับถนนเดิมในที่ดินของจำเลยทั้งสามตามคำฟ้อง ทางด้านทิศใต้กว้าง 5 เมตร ตลอดแนวที่ดิน ภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์ทั้งห้ากับพวกเป็นผู้ดำเนินการแทนโดยให้จำเลยทั้งสามร่วมกันออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น

จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่ดินของจำเลยทั้งสามไม่ได้ตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งห้า ขอให้ยกฟ้อง

ในระหว่างพิจารณาก่อนมีการสืบพยาน โจทก์ทั้งห้ายื่นคำร้องขอถอนฟ้อง จำเลยทั้งสามแถลงคัดค้านว่า โจทก์ทั้งห้าถอนฟ้องเพื่อจะตั้งรูปคดีใหม่เป็นเรื่องทางสาธารณะ ซึ่งในเรื่องนี้โจทก์ทั้งห้าเป็นเพียงบุคคลธรรมดามิได้มีส่วนเสียหายด้วย ผู้เสียหายซึ่งมีอำนาจฟ้องน่าจะเป็นรัฐการถอนฟ้องเช่นนี้จึงไม่เป็นประโยชน์

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ทั้งห้าถอนฟ้อง จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่โจทก์จะถอนฟ้องจำเลยหรือไม่นั้นเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะกระทำได้ เป็นแต่ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลว่าสมควรจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้หรือไม่เท่านั้น โดยให้ศาลคำนึงถึงความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันในเชิงคดีว่า เท่าที่ต่างดำเนินคดีต่อสู้กันมานั้นเป็นเช่นไรบ้างเท่านั้น สำหรับคดีเรื่องนี้ยังไม่มีการนำพยานของโจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสามเข้าสืบเพื่อเป็นการสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องและข้อเถียงตามคำให้การของฝ่ายตนเลย โดยศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ทั้งห้านัดแรกเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2540 แต่ทนายจำเลยทั้งสามขอเลื่อนคดี หลังจากนั้นมีการขอเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ทั้งห้าอีกถึง 10 นัด จนถึงนัดสืบพยานโจทก์ทั้งห้าวันที่ 20 ตุลาคม 2541 ซึ่งเป็นนัดที่โจทก์ทั้งห้าขอถอนฟ้องซึ่งตลอดเวลาดังกล่าวทั้งโจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสามได้ขอเลื่อนคดีด้วยเหตุที่ขอเจรจาต่อรองเพื่อตกลงกัน แม้ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้มีการนำพยานเข้าสืบให้อีกฝ่ายเห็นข้อเท็จจริงที่เป็นการสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องและข้อเถียงตามคำให้การของฝ่ายตนแล้วก็หาทำให้ฝ่ายใดต้องเสียเปรียบในเชิงคดีดังที่จำเลยทั้งสามอ้างตามฎีกาไม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ทั้งห้าถอนฟ้องชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 แล้วนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”

พิพากษายืน

Share