แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่่่าคำฟ้องของโจทก์ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้การที่โจทก์ที่่2ฟ้องจำเลยที่3ซึ่งเป็นมารดาของตนเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1562อันเป็นผลให้โจทก์ที่2ไม่มีอำนาจฟ้องเฉพาะจำเลยที่3แต่ในระหว่างพิจารณาจำเลยที่3ถึงแก่กรรมโจทก์ที่2ได้ขอถอนฟ้องจำเลยที่3ศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่3แล้วจำเลยที่3จึงมิได้เป็นคู่ความในคดีอีกต่อไปและเมื่อจำเลยอื่นไม่ใช่บุพการีของโจทก์ที่2ฟ้องโจทก์ที่2สำหรับจำเลยอื่นหาตกเป็นโมฆะหรือต้องห้ามตามกฎหมายไม่่่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษายืนให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่1ที่2และที่4ใบจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินหากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนามานั้นจึงเป็นการไม่ถูกต้องเพราะไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1364ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามมาตรา1364
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนด โจทก์ที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนด โจทก์ที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ 2 ส่วน โจทก์ที่ 2 และจำเลยทั้งสี่ถือกรรมสิทธิ์คนละ 1 ส่วน ผู้ถือกรรมสิทธิ์ทุกคนตกลงให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทางด้านทิศตะวันตกโดยให้โจทก์ที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 26.02 ตารางวาโจทก์ที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 13.01 ตารางวารวมเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ 39.03 ตารางวา ส่วนจำเลยทั้งสี่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทางด้านทิศตะวันออก เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่6.86 ตารางวา โจทก์ทั้งสองตกลงจะขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่บุคคลภายนอกจึงบอกให้จำเลยทั้งสี่ไปทำนิติกรรมแบ่งแยกที่ดินเพื่อโจทก์ทั้งสองจะได้โอนขายที่ดินให้แก่บุคคลภายนอกต่อไป แต่จำเลยทั้งสี่ปฏิเสธ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ไปดำเนินการทำนิติกรรมแบ่งแยกที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเป็นเนื้อที่ 1 ไร่ 13 ตารางวา โจทก์ที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเป็นเนื้อที่ 2 งาน 6.50 ตารางวา ที่ดินพิพาทไม่มีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้การว่า โจทก์ที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเป็นเนื้อที่ 1 ไร่ 13 ตารางวา โจทก์ที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเป็นเนื้อที่ 2 งาน 6.50 ตารางวา ที่ดินพิพาทไม่มีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณา จำเลยที่ 3 ถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสองขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและให้จำเลยคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4ไปดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 703 ตำบลสันปูเลยอำเภอดอนสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โดยให้โจทก์ทั้งสองได้รับกรรมสิทธิ์รวมเป็นเนื้อที่ 3 ไร่ 39 ตารางวา ถ้าคู่ความตกลงแบ่งกันไม่ได้ให้นำที่ดินขายโดยประมูลราคาระหว่างคู่ความหรือขายทอดตลาดนำเงินแบ่งกันตามส่วน
จำเลย ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 เป็นมารดาของโจทก์ที่ 2 เป็นอุทลม คำฟ้องส่วนของโจทก์ที่ 2ตกเป็นโมฆะศาลชอบที่จะพิจารณายกฟ้องโจทก์ที่ 2 ได้นั้น เห็นว่าฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 4 ข้อนี้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4มิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ การที่โจทก์ที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นมารดาของตนเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 อันเป็นผลให้โจทก์ที่ 2ไม่มีอำนาจฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3 แต่ในระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 3ถึงแก่กรรม โจทก์ที่่ 2 ได้ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 3 แล้ว จำเลยที่ 3 จึงมิได้เป็นคู่ความในคดีอีกต่อไป และเมื่อจำเลยอื่นไม่ใช่บุพการีของโจทก์ที่ 2ฟ้องโจทก์ที่ 2 สำหรับจำเลยอื่่นหาตกเป็นโมฆะหรือต้องห้ามตามกฎหมายไม่่
ข้อที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนมานั้นเป็นเรื่องการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม ดังนี้ การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนามานั้นจึงเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมนั้นให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ตามที่ศาลล่างทั้งสองได้กำหนดไว้ด้วยแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่ว่า หากจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 4 ไม่ไปแบ่งแยกที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการเจตนานั้นเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2