คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 519/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ออกจากที่ดินพิพาทเป็นเวลา 10 ปีเศษ โดยไม่ได้มาใช้สิทธิเหนือที่ดินพิพาทเลย แม้จะถูกบุคคลอื่นหลอกลวงว่าทางราชการต้องการที่ดินคืนก็เป็นการทอดทิ้งทรัพย์ที่ครอบครองมิใช่เป็นเหตุขัดข้องชั่วคราวมาขัดขวางการครอบครอง การครอบครองของจำเลยที่ 2 จึงสิ้นสุดลง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 824 ตำบลแม่หล่าย อำเภอเมืองแพร่จังหวัดแพร่ เมื่อราวเดือนมิถุนายน 2529 จำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าครอบครองที่ดินโจทก์ทั้งแปลงทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ แล้วส่งมอบที่ดินในสภาพใช้การได้ดีแก่โจทก์โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสองห้ามจำเลยทั้งสองรบกวนการครอบครองของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์จำนวน 10,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า เดิมที่ดินมีสภาพเป็นป่า ต่อมาทางราชการอนุญาตให้ประชาชนที่ยากจนเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยแบ่งเป็นแปลงเท่า ๆ กัน โดยทางราชการออกใบจอง (น.ส.2) ให้ไว้ จำเลยทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ ในที่ดินส่วนของตนตลอดมา จนถึงปี 2518นายอิ่นคำ กรุงศรี กำนันตำบลแม่หล่ายได้แจ้งให้ประชาชนรวมทั้งจำเลยทั้งสองทราบว่า ทางราชการต้องการที่ดินคืนและให้ออกจากที่ดินจำเลยทั้งสองหลงเชื่อจึงออกจากที่ดินและเฝ้าดูตลอดมา ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดเข้าทำประโยชน์จนถึงต้นปี 2529 จำเลยทั้งสองรู้ว่าทางราชการมิได้เวนคืนที่ดินเหล่านั้น จึงกลับเข้าครอบครองทำประโยชน์ในส่วนที่เคยครอบครอง แต่ถูกโจทก์โต้แย้ง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ออกโดยไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยปลูกสร้างลงในที่ดินของโจทก์ และส่งมอบที่ดินในสภาพใช้การได้ดีโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสองเอง ห้ามจำเลยทั้งสองกระทำการใด ๆอันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมโจทก์ขอให้หมายเรียกนางปี ปัดเป่า และนายสงคราม ปัดเป่าทายาทของจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 2มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า การครอบครองของจำเลยที่ 2 ยังไม่สิ้นสุดลงนั้น เห็นว่าการที่จำเลยที่ 2 ออกจากที่ดินพิพาทไปเป็นเวลา 10 ปีเศษ โดยไม่ได้มาใช้สิทธิเหนือที่ดินพิพาทเลย เป็นการทอดทิ้งทรัพย์ที่ครอบครอง แม้จะถูกบุคคลอื่นหลอกว่าทางราชการต้องการที่ดินคืนก็หาใช่เป็นเหตุขัดข้องชั่วคราวมาขัดขวางการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1377 วรรคสองไม่ ที่จำเลยที่ 2 เข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทครั้งหลังก็ถูกโจทก์โต้แย้งการครอบครองของจำเลยที่ 2 จึงสิ้นสุดลง
พิพากษายืน

Share