คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5189/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การรับมรดกแทนที่กันจะมีได้เฉพาะผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่บิดามารดาเท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1639 และ 1642 โจทก์ที่ 1 เป็นภรรยาของ ส.มิใช่ผู้สืบสันดานของ ส.จึงไม่มีสิทธิรับมรดกแทนที่ส. ส.มีบุตร3คนคือพ.โจทก์ที่2และที่3พ.สละมรดกของ ส. เท่านั้น ไม่ได้สละสิทธิในการรับมรดกของก. อันเป็นการรับมรดกแทนที่ ส.ดังนี้พ. มีสิทธิรับมรดกแทนที่ ส. ในการสืบมรดกของ ก. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1645 โจทก์ที่ 2 และที่ 3จึงมีสิทธิรับมรดกแทนที่ ส. ในการสืบมรดกของ ก.คนละหนึ่งในสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายกิติศักดิ์ บุญศิริ ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกของนายพิภพ บุญศิริ ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน(ส.ค.1) เลขที่ 194 เนื้อที่ประมาณ 66 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวาเดิมมีนายจำนง บุญศิริ และนายสุคนธ์ บุญศิริ ถือสิทธิครอบครองกันคนละครึ่ง ครั้นนายจำนงถึงแก่กรรม นายสุคนธ์ นายกิติศักดิ์นายพิภพ จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายจำนงได้เข้ารับมรดกที่ดินส่วนของนายจำนงโดยถือสิทธิครอบครองที่ดินร่วมกันตลอดมาและได้ขอออกโฉนดที่ดินเป็น 3 แปลง แปลงแรกโฉนดเลขที่ 12624เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ 1 งาน 85 1/10 ตารางวา แปลงที่สองโฉนดเลขที่ 12625 เนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ 1 งาน 44 1/10 ตารางวาและแปลงที่สามโฉนดเลขที่ 12626 เนื้อที่ประมาณ 35 ไร่ 3 งาน54 7/10 ตารางวา ต่อมานายสุคนธ์ถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของนายสุคนธ์ย่อมได้รับมรดกที่ดินส่วนของนายสุคนธ์สำหรับที่ดินแปลงที่สามคิดเป็นเนื้อที่คนละ 6 ไร่ 3 งาน 92 ตารางวา หลังจากนั้นนายกิติศักดิ์ได้ถึงแก่กรรมอีก โจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับมรดกที่ดินส่วนของนายกิติศักดิ์สำหรับที่ดินแปลงที่สาม อันเป็นการรับมรดกแทนที่นายสุคนธ์คิดเป็นเนื้อที่คนละ 79 3/4 ตารางวา รวมแล้วโจทก์ทั้งสามมีสิทธิในที่ดินแปลงที่สามคิดเป็นเนื้อที่คนละ 7 ไร่71 3/4 ตารางวา โจทก์ทั้งสามแจ้งให้จำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนบรรยายส่วนและรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ทั้งสามตามสิทธิแล้วแต่จำเลยทั้งห้าเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนบรรยายส่วนและทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 12626ตำบลเชิงเนิน อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง โดยให้โจทก์ทั้งสามมีส่วนในที่ดินคิดเป็นเนื้อที่คนละ 7 ไร่ 71 3/4 ตารางวา หากจำเลยทั้งห้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า นายพงษ์ แซ่ตั้นและนางสัมฤทธิ์ แซ่ตั้น ซึ่งเป็นตาและยายของนายจำนงนายสุคนธ์ นายพิภพ นายกิติศักดิ์ จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5ผู้ซื้อที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 194โดยเจตนายกให้แก่หลานทุกคน แต่ลงชื่อนายจำนงและนายสุคนธ์ซึ่งเป็นหลานคนโตไว้เพียงสองคนแทน ต่อมานายจำนงถึงแก่กรรมจำเลยที่ 2 ที่ 5 นายกิติศักดิ์ นายพิภพ และนายสุคนธ์จึงมอบอำนาจให้จำเลยที่ 4 ไปยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินและออกโฉนดที่ดินมาเป็น 3 แปลง ทุกคนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์คนละส่วนเท่ากัน เมื่อนายสุคนธ์ถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทคือที่ดินโฉนดเลขที่ 12626 คิดเป็นเนื้อที่ 5 ไร่3 งาน 92 ตารางวา แต่เมื่อนายกิติศักดิ์ถึงแก่กรรมโจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิรับมรดกที่ดินดังกล่าวของนายกิติศักดิ์แทนนายสุคนธ์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ให้การรวมกันทำนองเดียวกันกับจำเลยที่ 1 และที่ 2
ศาลชั้นต้นเห็นว่า นายจำนงแจ้งการครอบครองที่ดินแทนน้องทุกคน นายสุคนธ์จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทเพียง 1 ใน 6 ส่วนคิดเป็นเนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 92 ตารางวา ซึ่งตกเป็นมรดกแก่โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทนายสุคนธ์ นอกจากนี้โจทก์ที่ 2และที่ 3 ยังมีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาทส่วนของนายกิติศักดิ์แทนที่นายสุคนธ์อีก 1 ใน 5 ส่วน คิดเป็นเนื้อที่อีก 1 ไร่78 ตารางวา พิพากษาให้จำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนบรรยายส่วนและทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 12626 ตำบลเชิงเนินอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้โจทก์ที่ 1 มีส่วนได้ในที่ดินคิดเป็นเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 97 ตารางวา โจทก์ที่ 2 และที่ 3มีส่วนได้ในที่ดินคิดเป็นเนื้อที่คนละ 2 ไร่ 2 งาน 36 ตารางวาหากจำเลยทั้งห้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน และหากตกลงแบ่งแยกที่ดินกันไม่ได้ให้เอาที่ดินออกขายแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งให้โจทก์ทั้งสามตามส่วน
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายพงษ์และนางสัมฤทธิ์เป็นสามีภรรยากัน ซื้อที่ดินมือเปล่า 1 แปลงเนื้อที่ 66 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวา ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลเชิงเนินอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เมื่อซื้อที่ดินดังกล่าวมาแล้วได้ให้นางหมู ศิริคช เช่า นายพงษ์และนางสัมฤทธิ์มีบุตรคนเดียวคือนางหิน นางหินสมรสกับนายอำพันธ์ มีบุตร 8 คน คือนายจำนง นางน้ำค้าง นายสุคนธ์ นายจำเนียรจำเลยที่ 5นางสาวดาราจำเลยที่ 4 นายพิภพ นางสาวดาวเรืองจำเลยที่ 2และนายกิติศักดิ์ นายพงษ์ นายอำพันธ์ และนางน้ำค้างถึงแก่กรรมก่อนนางสัมฤทธิ์ นางสัมฤทธิ์ถึงแก่กรรมปี 2494 นางหินเก็บค่าเช่าที่ดินดังกล่าวสืบต่อมา ปี 2498 นายจำนงแจ้งการครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยระบุว่าครอบครองร่วมกับนายสุคนธ์ตามสำเนาแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เอกสารหมาย จ.1ต่อมาวันที่ 18 ธันวาคม 2500 นายจำนงถึงแก่กรรมโดยไม่มีภริยาและบุตร ผู้มีสิทธิรับมรดกของนายจำนงมี 7 คน คือ นางหินนายสุคนธ์ จำเลยที่ 5 จำเลยที่ 4 นายพิภพ จำเลยที่ 2และนายกิติศักดิ์แต่นางหินสละมรดกเป็นหนังสือตามสำเนาหนังสือการสละมรดกเอกสารหมาย ล.33ต่อมาปี 2515 นายสุคนธ์ จำเลยที่ 5 นายพิภพ จำเลยที่ 2และนายกิติศักดิ์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 4 ไปขอออกโฉนดที่ดินวันที่ 23 สิงหาคม 2515 จำเลยที่ 4 ยื่นคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน(ตกค้าง) ตามสำเนาเอกสารหมาย ล.29 วันที่ 6 กรกฎาคม 2516นายสุคนธ์ยื่นคำขอคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน โดยอ้างว่าตนมีสิทธิครอบครองครึ่งหนึ่งตามสำเนาเอกสารหมาย ล.26 วันที่ 13 ธันวาคม2516 นางหินถึงแก่กรรม ต่อมาวันที่ 9 มิถุนายน 2518นายสุคนธ์ขอยกเลิกการคัดค้านการออกโฉนดที่ดิน โดยระบุว่าเพราะได้รับคำชี้แจงจากเจ้าพนักงานที่ดินว่า มีสิทธิในที่ดินครึ่งหนึ่งและเมื่อได้รับโฉนดแล้วจะได้จดทะเบียนบรรยายส่วนต่อไปตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.28 วันที่ 16 ตุลาคม 2518เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้เป็น 3 ฉบับ คือโฉนดเลขที่ 12624, 12625 และ 12626 โฉนดที่ดินทั้ง 3 ฉบับมีชื่อนายสุคนธ์ จำเลยที่ 5 จำเลยที่ 4 นายพิภพ จำเลยที่ 2และนายกิติศักดิ์เป็นเจ้าของโดยมิได้ระบุว่ามีส่วนคนละเท่าใดจำเลยที่ 2 เป็นผู้เก็บรักษาโฉนดไว้ ต่อมาวันที่ 3 สิงหาคม 2518นายพิภพถึงแก่กรรมมีทายาทโดยธรรม 3 คน คือ นางธีรภัทร บุญศิริจำเลยที่ 3 และนางสาวพรนภิศ บุญศิริ จำเลยที่ 3เป็นผู้จัดการมรดกของนายพิภพ ต่อมานายสุคนธ์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2523 มีทายาทโดยธรรม 4 คน คือโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และนายสุรพันธ์ บุญศิริซึ่งเป็นบุตร แต่นายสุรพันธ์สละมรดกเป็นหนังสือตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.8 โจทก์ทั้งสามรับมรดกของนายสุคนธ์โดยจดทะเบียนรับโอนที่ดินเฉพาะส่วนของนายสุคนธ์สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 12624 วันที่ 27 มกราคม 2524 ที่ดินโฉนดเลขที่ 12625และ 12626 วันที่ 5 พฤศจิกายน 2524 ในปี 2524 นั้นเองมีการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 12624 เป็นเงินประมาณ 4,264,750 บาทโจทก์ทั้งสามได้รับส่วนแบ่งเป็นเงิน 980,000 บาท ต่อมาวันที่4 สิงหาคม 2530 นายกิติศักดิ์ถึงแก่กรรมโดยไม่มีภรรยาและบุตรจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดก ที่ดินโฉนดเลขที่ 12625 ถูกเวนคืนเพื่อทำถนนที่ดินโฉนดเลขที่ 12626 อันเป็นที่ดินพิพาทมีเนื้อที่35 ไร่ 3 งาน 54 7/10 ตารางวา มีนายต๋องบุตรของนางหมูเช่าทำนาตลอดมา คดีมีปัญหาประการแรกว่า โจทก์ทั้งสามมีสิทธิรับมรดกของนายกิติศักดิ์แทนนายสุคนธ์หรือไม่เพียงใด เห็นว่าการรับมรดกแทนที่กันจะมีได้เฉพาะผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่บิดามารดาเท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1639และ 1642 โจทก์ที่ 1 เป็นภรรยาของนายสุคนธ์มิใช่ผู้สืบสันดานของนายสุคนธ์จึงไม่มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายสุคนธ์ ส่วนที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 รับมรดกของนายกิติศักดิ์แทนที่นายสุคนธ์โดยได้รับส่วนแบ่งคนละครึ่งหนึ่งก็ไม่ถูกต้อง เพราะนายสุคนธ์มีบุตร 3 คน คือ นายสุรพันธ์โจทก์ที่ 2 และที่ 3 นายสุรพันธ์สละมรดกของนายสุคนธ์เท่านั้นตามสำเนาบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.8 ไม่ปรากฏว่านายสุรพันธ์สละสิทธิในการรับมรดกของนายกิติศักดิ์อันเป็นการรับมรดกแทนที่นายสุคนธ์แต่อย่างใดดังนี้ นายสุรพันธ์จึงมีสิทธิรับมรดกแทนที่นายสุคนธ์ในการสืบมรดกของนายกิติศักดิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1645 โจทก์ที่ 2 และที่ 3จึงมีสิทธิรับมรดกแทนที่นายสุคนธ์ในการสืบมรดกของนายกิติศักดิ์คนละหนึ่งในสามเท่านั้น และปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนบรรยายส่วนและรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12626 ตำบลเชิงเนินอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้โจทก์ที่ 1 ได้จำนวน 5 ส่วนใน 90 ส่วน ให้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้คนละ 6 ส่วนใน 90 ส่วนหากจำเลยทั้งห้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนหากตกลงแบ่งแยกที่ดินพิพาทกันไม่ได้ให้เอาที่ดินพิพาทออกขายแล้วเอาเงินที่ได้แบ่งให้โจทก์ทั้งสามตามส่วน

Share