คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5179/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลล่างทั้งสองไม่ได้นำเอาคำเบิกความของพยานโจทก์ตามบัญชีระบุพยาน ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นหลังจากที่สืบพยานจำเลยเสร็จแล้วมาวินิจฉัยในการฟังข้อเท็จจริง ฉะนั้น ฎีกาของจำเลยที่ว่าการยื่นบัญชีระบุพยานของโจทก์ฉบับดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก การชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและตามสัญญาจำนองซึ่งเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง โจทก์ย่อมนำพยานบุคคลมาสืบว่าใบเสร็จรับเงินที่จำเลยอ้างเป็นการออกให้เพื่อการชำระหนี้จำนวนใดได้ไม่เป็นการสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารและไม่เป็นการสืบพยานเพิ่มเติมตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ก)และ(ข).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องสำนวนแรก ขอบังคับจำนองที่ดินให้จำเลยชำระหนี้จำนองจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.4 ต่อปี และฟ้องสำนวนที่สองว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์จำนวน 700,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ต่อมาจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ระงับหนี้สัญญากู้เงินดังกล่าวโดยจำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันจำนวน 300,000 บาท กับชำระเงินสดให้แก่โจทก์ 150,000บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 303,125 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 250,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป กับให้ส่งมอบรถไถนาพร้อมเครื่องยนต์และอุปกรณ์ให้แก่โจทก์ ถ้าไม่สามารถส่งมอบได้ให้ชำระราคาเป็นเงิน
จำเลยให้การสำนวนแรกว่า ได้ชำระหนี้จำนองแก่โจทก์แล้ว200,000 บาท คงค้างเพียง 100,000 บาท จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนอง ขอให้ยกฟ้อง และให้การสำนวนที่สองว่าได้ชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมจดทะเบียนจำนองที่ดินไว้ต่อโจทก์เป็นเงิน 300,000 บาท ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และได้ชำระเงินให้แก่โจทก์อีก 450,000 บาท คงค้างชำระหนี้ตามสัญญาจำนองอีกเพียง 100,000 บาท ไม่มีหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความอีกขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาจำนอง 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์ และให้จำเลยชำระเงิน241,524 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์สำนวนที่สองเป็นเงิน 225,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยในประเด็นข้อแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานฉบับลงวันที่ 14 มีนาคม 2529 หลังจากที่สืบพยานจำเลยเสร็จแล้วชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า บัญชีระบุพยานฉบับดังกล่าวโจทก์อ้างนางสำราญ สุดสังเกตุ และนายเสน่ห์ กรรณสูตรเป็นพยาน แต่ศาลล่างทั้งสองหาได้นำเอาคำเบิกความของบุคคลทั้งสองมาวินิจฉัยในการฟังข้อเท็จจริงไม่ ฉะนั้นการที่จำเลยฎีกาเพื่อให้วินิจฉัยว่า การยื่นบัญชีระบุพยานของโจทก์ฉบับลงวันที่ 14 มีนาคม2529 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้นจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกที่แก้ไขแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ประเด็นข้อสอง การนำสืบพยานบุคคลของโจทก์เป็นการสืบหักล้างใบเสร็จรับเงินตามเอกสารหมาย ล.4 ซึ่งขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 (ก) และ (ข) หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและฟ้องบังคับจำนองตามสัญญาจำนองที่จำเลยจดทะเบียนจำนองเพื่อประกันการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว มิได้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินซึ่งระงับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและตามสัญญาจำนวนซึ่งประกันการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง โจทก์ย่อมนำพยานบุคคลมาสืบว่าใบเสร็จรับเงินตามเอกสารหมาย ล.4 เป็นการออกให้เพื่อการชำระหนี้จำนวนใดได้ ไม่เป็นการสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารและไม่เป็นการสืบเพิ่มเติมตัดตอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 (ก) และ (ข)
พิพากษายืน.

Share