แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือวันภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิต ถึงแม้มีดของกลางจะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญแต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 371, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และริบมีดของกลางจำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ลงโทษจำคุก 10 ปีและผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ลงโทษปรับ 100 บาท รวมจำคุก10 ปี ปรับ 100 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ริบมีดของกลางจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายกับพวกดื่มสุราด้วยกัน จากนั้นได้เดินไปพบจำเลยนั่งเล่นการพนันอยู่กลางทุ่งนาเมื่อเวลาประมาณ19 นาฬิกาแล้วมีการชกต่อยกัน โดยจำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายถูกที่หน้าอกซ้ายบริเวณราวนม บาดแผลยาว 1.5 นิ้ว ลึกเข้าไปในทรวงอก สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับนั้น ศาลชั้นต้นลงโทษปรับ 100 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้นั้นเป็นการไม่ชอบ จำเลยจะฎีกาในปัญหาดังกล่าวต่อมาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คดีนี้มีสาเหตุมาจากการแบ่งเงินที่ผู้เสียหายกับพวกและจำเลยไปรับจ้างทำงานร่วมกันที่จังหวัดสุโขทัย จึงสมควรที่จะวินิจฉัยก่อนว่า ผู้เสียหายกับพวกหรือจำเลยเป็นฝ่ายที่ไม่พอใจในการแบ่งเงินค่าจ้างนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายกับพวกรวมทั้งจำเลยไปรับจ้างตัดไม้ที่อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัยตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2529 วันที่ 25 เดือนเดียวกันจำเลยกับนายประเสริฐกลับมาที่จังหวัดแพร่ก่อน วันที่ 30 เดือนเดียวกัน ผู้เสียหายกับพวกก็กลับมาที่จังหวัดแพร่ จำเลยทราบข่าวจึงไปพบผู้เสียหายเพื่อขอส่วนแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้รับมาผู้เสียหายว่าต้องไปถามเพื่อน ๆ ดูก่อน ในเรื่องการแบ่งเงินค่าจ้างนี้ผู้เสียหายเบิกความว่า นายสมศักดิ์ หรือศักดิ์ จับจ่าย เป็นหัวหน้าในการพาจำเลยและผู้เสียหายกับพวกไปทำงาน ผู้เสียหายกับพวกที่เหลือได้แบ่งเงินค่าจ้างกันก่อนที่จะกลับมาจังหวัดแพร่แล้ว เมื่อจำเลยกับนายประเสริฐมาขอส่วนแบ่งที่บ้านผู้เสียหายผู้เสียหายบอกว่ารอปรึกษาเพื่อนที่เหลือก่อน จำเลยกับนายประเสริฐว่าให้นายสมศักดิ์จัดการเรื่องนี้ เมื่อนายสมศักดิ์มาจึงได้พากันไปแบ่งเงินที่บ้านจำเลย โดยผู้เสียหายกับเพื่อนยอมออกเงินที่ได้รับมาแบ่งให้ ผู้เสียหายกับเพื่อน ๆ ไม่พอใจเนื่องจากจำเลยกลับมาก่อน ตามคำของผู้เสียหายดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่า ฝ่ายที่ไม่พอใจในการแบ่งเงินค่าจ้างที่บ้านจำเลยนั้น คือผู้เสียหายกับพวก เพราะได้รับส่วนแบ่งที่จังหวัดสุโขทัยแล้วต้องมาแบ่งให้จำเลยกับนายประเสริฐอีก ส่วนที่ผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยไม่พอใจในการแบ่งค่าจ้างโดยในระหว่างที่ผู้เสียหาย นายสุบิน นายสุข นายสมคิด และนายมนัสนั่งดื่มสุรากันอยู่ก่อนเกิดเหตุ จำเลยมาร้องตะโกนว่า “ควย ควย” อยู่ที่หน้าบ้านของนายสมคิดนั้น นายสุข จันทร์ชุ่ม เบิกความว่าระหว่างดื่มสุราผู้เสียหายบอกว่าได้ยินเสียงจำเลยตะโกนให้ควยแสดงว่านายสุขไม่ได้ยินเอง ถ้าจำเลยตะโกนดังกล่าวจริง นายสุขกับผู้เสียหายซึ่งดื่มสุราอยู่ด้วยกันก็น่าจะต้องได้ยินด้วยนายสุบิน ช้างมูบ ซึ่งนั่งดื่มสุราอยู่ด้วยเบิกความว่า บิดาของนายสมคิดขึ้นมาบอกว่าได้ยินเสียงของจำเลยร้องให้ควยนายสมคิดเบิกความว่า ขณะนั่งดื่มสุราได้ยินเสียงร้อง ควย ควยที่ถนน ไม่เห็นตัวว่าเป็นใคร แต่จำได้ว่าเป็นเสียงของจำเลยข้อเท็จจริงจากคำพยานโจทก์ดังกล่าวจึงยังไม่เป็นการแน่นอนที่จะให้ฟังว่าจำเลยเป็นคนมาร้องตะโกนด้วยถ้อยคำดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่จะทำให้เห็นว่าจำเลยไม่พอใจจากการแบ่งเงินค่าจ้างนั้นจึงยังไม่อาจฟังได้เป็นการแน่นอน เหมือนกับกรณีของผู้เสียหายที่เบิกความรับอยู่เองว่าตนกับพวกไม่พอใจ ข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์ได้ความว่าผู้เสียหายกับพวกดื่มสุรากันแล้วจะไปเที่ยวสาว ผู้เสียหายเองก็เบิกความว่า ทางที่จะไปบ้านสาวมีหลายทาง ตอนจะไปนั้นนายมนัสมาบอกว่าเห็นจำเลยกับพวกนั่งเล่นไพ่อยู่ในสวน ผู้เสียหายกับพวกจึงพากันเดินผ่านทุ่งนาเพื่อจะไปที่สวนมะม่วง ไปถึงเห็นจำเลยกับพวกนั่งเล่นไพ่อยู่ที่ใต้ต้นมะม่วง จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏก่อนที่จะเกิดเหตุที่ว่าผู้เสียหายไม่พอใจจำเลยที่มาขอส่วนแบ่งเงินค่าจ้าง ผู้เสียหายกับพวกดื่มสุราแล้วเมื่อรู้ว่าจำเลยอยู่ที่ไหนก็พาพวกไปยังที่จำเลยเล่นไพ่อยู่เช่นนี้ทำให้เชื่อได้ว่าผู้เสียหายจะเป็นฝ่ายที่มีเจตนาหาเรื่องจำเลยก่อนส่วนข้อเท็จจริงในตอนเกิดเหตุนั้น พยานโจทก์ที่นำสืบมาตามคำเบิกความของผู้เสียหาย นายสุข จันทร์ชุ่ม นายสมคิด กวางสนุกนายบุญช่วย กวางวิ่ง ได้ความว่า จำเลยท้าผู้เสียหายชกก่อน แต่ตามคำของนายสุบิน ช้างมูบ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า เมื่อดื่มสุราเสร็จแล้ว พยาน นายสมคิดผู้เสียหาย และนายสุขได้พากันเดินลัดทุ่งนาไป โดยผู้เสียหายเดินนำหน้า พยานตามหลังเป็นคนสุดท้ายระหว่างทางเห็นจำเลยกับพวกหลายคนกำลังนั่งเล่นไพ่อยู่กลางทุ่งนาพยานกับพวกพากันหยุดดู ห่างจากวงไพ่ประมาณ 2 ถึง 3 เมตร พยานได้ยินเสียงจำเลยต่อว่าผู้เสียหายได้เงินแบ่งมาน้อย ผู้เสียหายว่าได้เงินมาแล้วจะเอาอะไรกันอีก ผู้เสียหายเข้าไปชกจำเลย จำเลยชักมีดออกจากเอวแทงผู้เสียหาย 1 ที คำเบิกความของนายสุบินดังกล่าวนั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยท้าทายผู้เสียหายในลักษณะชวนวิวาทซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่า เมื่อผู้เสียหายกับพวกเดินมาถึงที่จำเลยนั่งเล่นไพ่ ผู้เสียหายพูดขึ้นว่ามึงจะเอากับกูไหม นายประเสริฐก็พูดขึ้นว่าอย่ามีเรื่องกันเลย จำเลยยังไม่ทันตอบก็ถูกผู้เสียหายชกถูกปาก เมื่อพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยมาแล้วว่า ผู้เสียหายดื่มสุรามาก่อนและเป็นฝ่ายไปหาเรื่อง ข้อเท็จจริงในตอนเกิดเหตุจึงน่าจะเชื่อได้ตามคำเบิกความของนายสุบินว่า ผู้เสียหายเข้าไปชกจำเลยก่อนโดยที่จำเลยมิได้สมัครใจที่จะวิวาทกับผู้เสียหายดังที่ผู้เสียหายและพยานโจทก์ปากอื่นเบิกความ ส่วนการที่จำเลยแทงผู้เสียหายจะเป็นการป้องกันหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายเข้าไปชกจำเลย 2 ที จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหาย 1 ทีหลังจากถูกชกแล้ว เห็นว่า การที่ผู้เสียหายชกจำเลยไปแล้วไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ดังนั้น ภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายจึงผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันสิทธิของตนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แต่การที่ผู้เสียหายเข้าไปชกต่อยจำเลยขณะที่เล่นไพ่อยู่โดยที่จำเลยมิได้สมัครใจจะวิวาทกับผู้เสียหายมาก่อนเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยแทงผู้เสียหายทันทีหลังจากถูกชกต่อย จึงเป็นการกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ซึ่งเป็นการกระทำด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบมานั้นได้ความว่า ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกัน ถึงแม้ว่ามีดของกลางจะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงอวัยวะส่วนที่สำคัญก็ตาม แต่จำเลยก็แทงไปทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะกระทำได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ เมื่อพิจารณาถึงมูลกรณีก่อนเกิดเหตุและลักษณะของการกระทำในขณะเกิดเหตุแล้ว เห็นได้ว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น แต่เมื่อการกระทำของจำเลยมีผลทำให้ผู้เสียหายต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล 15 วัน และมานอนรักษาที่บ้านอีก 15 วัน จึงทำงานได้นั้นถือว่าผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน เป็นอันตรายสาหัสตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) จำเลยต้องรับผิดตามผลที่เกิดขึ้นจากการทำร้ายตามบทกฎหมายดังกล่าว”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน รวมกับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 แล้ว เป็นจำคุก 6 เดือน ปรับ100 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์