แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จ.สามี ล.ที่จำเลยที่ 2 พา น.ไปติดต่อเพื่อจะขอให้ช่วยวิ่งเต้นให้ น.ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้เป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ จ.จึงไม่ใช่เจ้าพนักงานที่ ล.หรือจำเลยคนหนึ่งคนใดจะพึงจูงใจให้กระทำการ หรือไม่กระทำการในหน้าที่โดยพิพากษาคดีในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓, ๘๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๓, ๘๓ จำคุกคนละ ๑ ปี ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามมาตรา ๗๘ คงจำคุกคนละ ๘ เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายโดยฟังข้อเท็จจริงยุติว่า เมื่อพ.ศ. ๒๕๒๖ นางเนี่ยม ได้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากนางประนอม บุตรสาว ต่อศาลจังหวัดอุทัยธานี แล้วทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ ศาลจังหวัดอุทัยธานีจึงพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมานางประนอมยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดอุทัยธานีว่า นางเนี่ยมไม่ปฏิบัติตามสัญญายอม ศาลจังหวัดอุทัยธานีพิจารณาแล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๒๖ ว่า นางเนี่ยมเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความนางเนี่ยมอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวแล้วได้ไปถามจำเลยที่ ๒ ว่า จำเลยที่ ๒ รู้จักผู้พิพากษาคนใดที่กรุงเทพมหานครเพื่อจะขอให้ช่วยวิ่งเต้นให้นางเนี่ยมชนะคดีในชั้นศาลอุทธรณ์บ้าง จำเลยที่ ๒ จึงพานางเนี่ยมไปพบนางลำปางภริยาผู้พิพากษาที่ชื่อเจริญ ที่บ้านแขวงตลิ่งชัน กรุงเทพมหานครเมื่อนางลำปางบอกว่านายเจริญสามีของตนจะช่วย นางเนี่ยมจึงมอบเงินจำนวน ๔,๐๐๐ บาท ให้นางลำปางไว้เป็นค่าใช้จ่ายต่อมาประมาณวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๒๘ จำเลยที่ ๒ นำข้อความอันเป็นเท็จไปบอกนางเนี่ยมว่า นางลำปางมีจดหมายมาบอกให้นางเนี่ยมส่งเงินค่าวิ่งเต้นไปให้อีก ๖,๐๐๐ บาท นางเนี่ยมหลงเชื่อจึงมอบเงินที่มีอยู่ในขณะนั้นให้จำเลยที่ ๒ ไปจำนวน ๑,๐๐๐บาท ต่อมาวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๒๘ นางเนี่ยมจึงมอบเงินที่ยืมมาได้จากนางสมนึกน้องสาวของตน และจากนายทองอินทร์ ทนายความให้จำเลยทั้งสองไปอีก ๕,๐๐๐ บาท มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบปรากฏว่า นายเจริญสามีนางลำปางที่จำเลยที่ ๒ พานางเนี่ยมไปติดต่อเพื่อจะขอให้ช่วยวิ่งเต้นให้นางเนี่ยมชนะคดีในชั้นอุทธรณ์นั้นมิได้เป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ นายเจริญจึงไม่ใช่เจ้าพนักงานที่ นางลำปางหรือจำเลยคนหนึ่งคนใดจะพึงจูงใจให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่คือพิพากษาคดีในชั้นศาลอุทธรณ์ให้เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใดอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ได้ยิ่งกว่านั้นข้อเท็จจริงก็ปรากฏโดยแจ้งชัดจากคำเบิกความของนางเนี่ยมพยานโจทก์ว่ากรณีเป็นเรื่องจำเลยที่ ๒ หลอกลวงนางเนี่ยมด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อให้นางเนี่ยมมอบเงินให้จำเลยที่ ๒ ความจริงทางฝ่ายนางลำปางมิได้มีจดหมายมาเรียกเงินจากนางเนี่ยม และจำเลยทั้งสองหาได้เรียกหรือรับเงินจากนางเนี่ยมเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจนายเจริญให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่ให้เป็นคุณแก่นางเนี่ยมแต่อย่างใดไม่
พิพากษายืน