คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5166/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

หนังสือทวงหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่มีไปถึงผู้ร้องได้ระบุว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงหนี้โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 90/39 และระบุจำนวนหนี้ที่ผู้ร้องจะต้องชำระแก่ผู้บริหารแผนตามสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องทำกับลูกหนี้ว่าหนี้ที่ต้องชำระเป็นหนี้อะไร จำนวนเท่าใด และจะต้องชำระแก่ผู้บริหารแผนของลูกหนี้ภายในระยะเวลาใดอย่างชัดแจ้ง ทั้งยังแจ้งด้วยว่าหากผู้ร้องจะปฏิเสธหนี้ให้แสดงเหตุผลประกอบข้อปฏิเสธไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 14 วัน นับแต่วันรับหนังสือ มิฉะนั้นถือว่าเป็นหนี้ลูกหนี้ตามที่แจ้งไปเป็นการเด็ดขาดนั้น จึงเป็นการแจ้งตามบทบัญญัติมาตรา 90/39 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลายฯ แล้ว ผู้ร้องจะอ้างว่าเข้าใจว่าหนังสือทวงหนี้ดังกล่าวเป็นหนังสือทวงหนี้ทั่ว ๆ ไป และไม่เข้าใจบทบัญญัติมาตรา 90/39 ดังกล่าวหาได้ไม่ ดังนั้น เมื่อผู้ร้องมิได้ปฏิเสธหนี้ไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 14 วัน นับแต่วันรับหนังสือ หนี้ตามจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งไปจึงเป็นหนี้เด็ดขาดตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 90/39 วรรคสอง ผู้ร้องจึงไม่อาจยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางให้ไต่สวนคำร้องของผู้ร้องเพื่อพิจารณายอดหนี้ที่เป็นหนี้ลูกหนี้ใหม่ได้
ป.วิ.พ. มาตรา 292 (2) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฯ มาตรา 14 เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจศาลล้มละลายกลางที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาเหตุผลตามรูปคดีว่ามีเหตุสมควรที่จะงดการบังคับคดีไว้หรือไม่ เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลล้มละลายกลางไต่สวนคำร้องของผู้ร้องเพื่อพิจารณายอดหนี้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือทวงหนี้ไปยังผู้ร้องใหม่และขอให้งดการบังคับคดีไว้ อันเป็นการของดการบังคับคดีไว้ก่อนในระหว่างไต่สวนคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวโดยมิได้อ้างเหตุอันสมควรประการอื่นเพื่อให้ศาลล้มละลายกลางได้พิจารณาว่ามีเหตุสมควรที่จะงดการบังคับคดีไว้หรือไม่ จึงเป็นคำร้องที่มิชอบที่ศาลล้มละลายกลางจะรับไว้พิจารณา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และตั้งบริษัทสินบัวหลวงคอนซัลแตนซี่ จำกัด ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทผลมั่นคง จำกัด เป็นผู้ทำแผน ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนกิจการลูกหนี้โดยมีผู้ทำแผนเป็นผู้บริหารแผน
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำขอให้ศาลล้มละลายกลางออกคำบังคับให้ผู้ร้องในฐานะลูกหนี้ของลูกหนี้กับนางอำพันและนางสุขจิตในฐานะผู้ค้ำประกัน ร่วมกันรับผิดชำระค่าเสียหาย 1,109,284.28 บาท ให้แก่ผู้บริหารแผนภายในเวลาที่ศาลกำหนด ซึ่งหนี้จำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่เด็ดขาดแล้ว เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องและผู้ค้ำประกันร่วมกันชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแก่ผู้บริหารแผนภายใน 14 วันนับแต่วันได้รับหนังสือตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/39 โดยแจ้งไปด้วยว่าหากผู้ร้องและผู้ค้ำประกันจะปฏิเสธหนี้ ให้แสดงเหตุผลประกอบข้อปฏิเสธไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 14 วัน นับแต่วันรับหนังสือ แต่ผู้ร้องและผู้ค้ำประกันมิได้มีหนังสือปฏิเสธหนี้ไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และมิได้ชำระหนี้แก่ผู้บริหารแผนภายในกำหนดเวลาดังกล่าวข้างต้น ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ออกคำบังคับให้ผู้ร้องและผู้ค้ำประกันชำระหนี้จำนวน 1,109,284.28 บาท แก่ผู้บริหารแผนภายใน 30 วัน นับแต่วันรับคำบังคับ
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางว่า ผู้ร้องชำระหนี้แก่ลูกหนี้ครบถ้วนแล้วแต่เนื่องจากผู้ร้องไม่มีความรู้ทางกฎหมาย จึงเข้าใจว่าหนังสือทวงหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นหนังสือทวงหนี้ทั่วไป เมื่อผู้ร้องไม่ชำระหนี้เจ้าหนี้ชอบที่จะฟ้องบังคับชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้ศาลนัดไต่สวนคำร้องขอพิจารณายอดหนี้ใหม่และขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/39 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อปรากฏว่าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดชำระหนี้…ให้ผู้ทำแผนหรือผู้บริหารแผนแจ้งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อดำเนินการ” และในวรรคสองบัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า “ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งความเป็นหนังสือไปยังบุคคลดังกล่าวให้ชำระหนี้…ตามที่ได้แจ้งไป และให้แจ้งไปด้วยว่าถ้าจะปฏิเสธให้แสดงเหตุผลประกอบข้อปฏิเสธเป็นหนังสือมายังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดสิบสี่วันนับแต่วันได้รับแจ้งความ มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นหนี้ลูกหนี้ตามที่แจ้งไปเป็นการเด็ดขาด” ซึ่งตามหนังสือทวงหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2546 ถึงผู้ร้องก็ได้ระบุว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงหนี้โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/39 และระบุจำนวนหนี้ที่ผู้ร้องจะต้องชำระแก่ผู้บริหารแผนตามสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องทำกับลูกหนี้ว่าหนี้ที่ต้องชำระเป็นหนี้อะไร จำนวนเท่าใด และจะต้องชำระแก่ผู้บริหารแผนของลูกหนี้ภายในระยะเวลาใดอย่างชัดแจ้ง ทั้งยังแจ้งไปด้วยว่า หากผู้ร้องจะปฏิเสธหนี้ให้แสดงเหตุผลประกอบข้อปฏิเสธไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 14 วัน นับแต่วันรับหนังสือ มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นหนี้ลูกหนี้ตามที่แจ้งไปเป็นการเด็ดขาดอันเป็นการแจ้งตามบทบัญญัติมาตรา 90/39 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ตามคำร้องของผู้ร้องจึงยอมรับว่าได้รับหนังสือทวงถามของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวจริง ที่ผู้ร้องอ้างว่า เข้าใจว่าเป็นหนังสือทวงหนี้ทั่ว ๆ ไป และไม่เข้าใจบทบัญญัติมาตรา 90/39 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 นั้น ไม่มีเหตุอันถึงรับฟัง เมื่อผู้ร้องได้รับหนังสือทวงหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วไม่ปฏิเสธหนี้ไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 14 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ หนี้ตามจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งไปให้ชำระจึงเป็นหนี้ที่เด็ดขาดแล้วตามมาตรา 90/39 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางให้ไต่สวนคำร้องของผู้ร้องเพื่อพิจารณายอดหนี้ที่เป็นหนี้ลูกหนี้ใหม่ได้ เพราะกรณีดังกล่าวผู้ร้องจะต้องปฏิเสธหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 14 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงหนี้ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วยังเห็นว่าผู้ร้องเป็นหนี้ตามที่ทวงหนี้ไปและมีหนังสือแจ้งยืนยันหนี้ไปยังผู้ร้อง ผู้ร้องจึงสามารถยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลล้มละลายกลางภายในกำหนดเวลา 14 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งความยืนยันดังกล่าวได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 90/39 วรรคสาม ส่วนที่ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องผู้ถูกบังคับคดีมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14 นั้น เห็นว่า กรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาแพ่ง มาตรา 292 (2) ตามที่ผู้ร้องอ้าง เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องงดการบังคับคดีไว้เมื่อศาลได้มีคำสั่งให้งดการบังคับคดี ซึ่งกฎหมายให้อำนาจศาลในกรณีนี้คือศาลล้มละลายกลางที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาเหตุผลตามรูปคดีว่ามีเหตุสมควรที่จะงดการบังคับคดีไว้หรือไม่ เมื่อตามคำร้องของผู้ร้องเป็นเรื่องที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลล้มละลายกลางไต่สวนคำร้องของผู้ร้องเพื่อพิจารณายอดหนี้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือทวงหนี้ไปยังผู้ร้องใหม่และงดการบังคับคดีไว้ อันเป็นการของดการบังคับคดีไว้ก่อนในระหว่างไต่สวนคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวโดยมิได้อ้างเหตุอันสมควรประการอื่นเพื่อศาลล้มละลายกลางจะได้พิจารณาว่ามีเหตุสมควรที่จะงดการบังคับคดีไว้หรือไม่ ที่ศาลล้มละลายกลางยกคำร้องผู้ร้องมาดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share