แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์เป็นฝ่ายอุทธรณ์เพียงฝ่ายเดียวในปัญหาว่าสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ และศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นดังกล่าวก็ตาม แต่หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดมานั้นยังหนักเกินไป ก็ย่อมมีอำนาจแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 371
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งมีทะเบียนและมีเครื่องกระสุนปืน (ที่ถูกฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย) จำคุก 1 ปี และปรับ 6,000 บาท ฐานพาอาวุธปืน เป็นกรรมเดียววเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน และปรับ 4,000 บาท รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน และปรับ 5,000 บาท ให้จำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย จำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 12 เดือน และปรับ 4,000 บาท เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้ไขโทษของจำเลยให้เบาลงนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ร้องขอให้ไม่รอการลงโทษจึงมีประเด็นขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพียงประการเดียวว่า สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้ไขโทษของจำเลยให้เบาลง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้มีการยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ และไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้อำนาจศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาได้เช่นนั้น เห็นว่า การที่โจทก์เป็นฝ่ายอุทธรณ์ฝ่ายเดียวในปัญหาว่าสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นดังกล่าวก็ตาม แต่หากศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่าโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดมานั้นยังหนักเกินไปก็ย่อมมมีอำนาจแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้ไขโทษของจำเลยให้เบาลงนั้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน