คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5157/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ข้อตกลงตามเอกสารแนบท้ายฎีกาของจำเลย มีข้อความแต่เพียงว่าจำเลยยอมชดใช้หนี้ให้ผู้เสียหาย หากจำเลยไม่สามารถนำเงินมาคืนผู้เสียหายภายในกำหนด 3 เดือน ยินยอมให้ผู้เสียหายดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีผลเป็นเพียงจำเลยได้ตกลงกำหนดนัดวันเวลาที่จะชำระเงินคืนแก่ผู้เสียหาย หาได้มีข้อความใดๆ ที่มีลักษณะเป็นการยอมความกันโดยผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยโดยสิ้นเชิง จึงไม่ใช่เป็นการยอมความที่ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 341 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินที่ผู้เสียหายสูญเสียไปจำนวน 136,987 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 4 กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 4 กระทง จำคุก 16 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 8 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 131,587 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาในประการแรกว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปเพราะการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ข้อตกลงตามเอกสารแนบท้ายฎีกาหมายเลข 1 ของจำเลย มีข้อความแต่เพียงว่า จำเลยยอมชดใช้หนี้ให้ผู้เสียหาย หากจำเลยไม่สามารถนำเงินมาคืนผู้เสียหาย ภายในกำหนด 3 เดือน จำเลยยินยอมให้ผู้เสียหายดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีผลเป็นเพียงจำเลยได้ตกลงกำหนดนัดวันเวลาที่จะชำระคืนแก่ผู้เสียหาย หาได้มีข้อความใดๆ ที่มีลักษณะเป็นการยอมความกันโดยผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยโดยสิ้นเชิง จึงมิใช่เป็นการยอมความที่ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share