คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 11,300 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ตั้งแต่กู้เงินไปไม่เคยชำระดอกเบี้ยครบกำหนดชำระแล้วโจทก์ทวงถามก็เพิกเฉยขอให้ศาลบังคับจำเลยร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ และจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันจริงจำเลยที่ 1 ได้รับเงินตามสัญญาที่ฟ้องไปแล้วแต่ขณะกู้เงินยังมิได้กรอกรายการใดๆ อันจะต้องรับผิดลงในสัญญา จำเลยตกลงกู้เงินโจทก์ 6 เดือน มิใช่ 1 เดือน ดังที่โจทก์ฟ้องและตกลงกันให้ดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน จำเลยได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแล้วแต่โจทก์ไม่ออกใบรับให้ สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมขอให้ยกฟ้องและทำลายสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยมิได้โต้แย้งว่ามิได้กู้ยืมเงินโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 รับว่าได้ลงชื่อในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจริงโดยมิได้ถูกหลอกลวงหรือหลงผิดแต่อย่างใด เงินดอกเบี้ยก็มิได้โต้เถียงว่าเกินอัตราที่ตกลงกันเพียงแต่อ้างว่ากำหนดเวลาชำระหนี้ 6 เดือน ไม่ใช่ 1 เดือนตามสัญญาแต่โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 6 เดือนแล้วแม้โจทก์จะกรอกข้อความลงในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันโดยลำพัง มิได้รับความยินยอมหรือรู้เห็นจากจำเลยทั้งสองจริงดังที่อ้างก็ไม่ทำให้จำเลยทั้งสองชนะคดีได้ และที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้รายนี้หมดแล้วก็ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนหรือแทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วจำเลยจึงนำสืบถึงการใช้เงินไม่ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองนำสืบตามคำให้การดังกล่าวนี้ไม่ได้ จึงไม่มีเหตุที่จะฟ้องแย้งศาลชอบที่จะไม่รับฟ้องแย้งได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2515 จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป11,300 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ตั้งแต่กู้เงินไปจำเลยที่ 1 ไม่เคยชำระดอกเบี้ยเลย ครบกำหนดชำระแล้วโจทก์ทวงถามก็เพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับจำเลยร่วมกันชำระเงินต้นและดอกเบี้ย

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นผู้กู้และจำเลยที่ 2ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาที่โจทก์ฟ้องจริง จำเลยที่ 1 ได้รับเงิน 11,300บาทตามสัญญาที่ฟ้องไปแล้ว แต่ในการกู้ครั้งนี้โจทก์อ้างว่าไม่มีคนเขียนสัญญา จึงเพียงให้จำเลยทั้งสองลงชื่อไว้ในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน โดยยังมิได้กรอกรายการใด ๆ อันต้องรับผิดลงในสัญญา กำหนดเวลาชำระหนี้ก็มิใช่เดือนเดียวดังที่โจทก์ฟ้อง และไม่เคยตกลงว่าจะให้ดอกเบี้ยตามกฎหมาย จำเลยตกลงกู้เงินโจทก์มีกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2515 ตกลงกันให้ดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน วันที่ 1 พฤศจิกายน 2516 จำเลยนำเงินต้น 11,300 บาท และดอกเบี้ย 1,800 บาทไปชำระให้โจทก์แล้ว มีบุคคลอื่นรู้เห็น แต่โจทก์ไม่ออกใบรับให้ โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริตนำคดีมาฟ้องจำเลย สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอม ขอให้ยกฟ้อง ทำลายสัญญาที่โจทก์ นำมาฟ้องเสีย

ศาลชั้นต้นสั่งคำให้การและฟ้องแย้งว่า ตามคำให้การของจำเลยจับใจความได้ว่า จำเลยได้กู้เงินไปตามที่โจทก์ฟ้องจริง แต่ต่อสู้ว่าได้ใช้แล้ว แต่การใช้เงินของจำเลยมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง จึงไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ คำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นที่จะสืบและไม่มีเหตุที่จะฟ้องแย้งได้ ไม่รับคำฟ้องแย้ง คืนค่าธรรมเนียมทั้งหมด เว้นแต่ค่ารับฟ้องและค่าคำขอให้ออกหมายเรียก นัดพร้อม

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วฟังว่า สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันไม่ใช่สัญญาปลอม เมื่อจำเลยอ้างว่าได้ชำระเงินกู้แล้วแต่โจทก์ไม่ออกใบเสร็จให้จึงต้องห้ามมิให้นำสืบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง ส่วนฟ้องแย้ง ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ประการใด ความจริงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อต่อสู้ที่ยกขึ้นในคำให้การนั่นเอง หาเป็นฟ้องแย้งไม่

เรื่องดอกเบี้ย จำเลยมีสิทธินำพยานบุคคลสืบได้ ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายพิพากษาแก้คำสั่งของศาลชั้นต้นว่า ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานคู่ความเฉพาะประเด็นเรื่องดอกเบี้ยต่อไป

จำเลยทั้งสองฎีกา

ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยมีประเด็นนำสืบ และไม่ต้องห้าม มิให้นำสืบหรือไม่ และศาลควรจะรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาหรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยมิได้โต้เถียงว่าจำเลยที่ 1 มิได้กู้ยืมเงินโจทก์ จำเลยที่ 1 รับว่าได้ลงชื่อในช่องผู้กู้ในหนังสือสัญญากู้จริง จำเลยที่ 2รับว่าได้ลงชื่อในหนังสือสัญญาค้ำประกันในช่องผู้ค้ำประกันจริง เรื่องการกู้ยืมเงินกันจริงหรือไม่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ปฏิเสธ ส่วนเรื่องค้ำประกันจำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้ให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้รายนี้ เรื่องสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจำเลยทั้งสองลงชื่อไว้ในสัญญาโดยไม่ได้ถูกหลอกลวงหรือหลงผิดแต่อย่างใดเพียงแต่อ้างว่ากำหนดเวลาชำระหนี้ 6 เดือน ไม่ใช่ 1 เดือนตามสัญญา แต่คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 6 เดือนตามที่จำเลยอ้างว่าหนี้ถึงกำหนดไปเป็นเวลาถึง 8 เดือน เงินดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องจำเลยก็มิได้โต้เถียงว่าเกินอัตราที่ตกลงกัน ข้อโต้เถียงของจำเลยทั้งสองมีประการเดียวคือการกรอกข้อความลงในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันว่า โจทก์ทำไปตามลำพังโดยมิได้รับความยินยอมหรือรู้เห็นจากจำเลยทั้งสอง ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองแม้จะเป็นความจริงก็ไม่ทำให้จำเลยทั้งสองชนะคดีได้ และที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้รายนี้หมดแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสาร อันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว จำเลยจึงนำสืบถึงการใช้เงินไม่ได้

เมื่อจำเลยทั้งสองนำสืบตามคำให้การดังกล่าวนี้ไม่ได้ ฟ้องแย้งที่ขอให้ศาลสั่งทำลายหนังสือสัญญากู้และหนังสือสัญญาค้ำประกัน จึงถือว่าไม่มีเหตุที่ฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่รับฟ้องแย้งชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share