คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2002/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยทั้งสองในการขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวคงยังเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งโจทก์มีความผูกพันที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาแทนตามสัญญาค้ำประกัน แม้โจทก์ชำระหนี้แทนไปแล้ว โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดแก่โจทก์ในคดีอื่น จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับ โจทก์ได้เข้าค้ำประกันต่อศาล ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ พิพากษายืน คดีถึงที่สุด โจทก์ในคดีนั้นบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ โจทก์จึงต้องชำระหนี้แทน จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องแล้วเห็นว่า เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ และคดีถึงที่สุด จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์ จึงมีคำสั่งยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ คงให้รับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๒
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้น เป็นการค้ำประกันหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จะต้องชำระ ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ และคดีถึงที่สุดแล้ว โดยผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ ๑ จึงหลุดพ้นจากลูกหนี้ตามคำพิพากษา ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒ อีกต่อไป จำเลยที่ ๒ แต่เพียงผู้เดียวคงยังเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งโจทก์มีความผูกพันที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาแทนตามสัญญาค้ำประกัน ฉะนั้นโจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒ ได้
พิพากษายืน
(สอน ไชยสุต ธานินทร์ กรัยวิเชียร ศิริ อติโพธิ)

Share