แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยดำรงชีพอยู่ด้วยรายได้ของหญิงในการค้าประเวณีสำนวนหนึ่งและในวันเดียวกันโจทก์ยังฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการกระทำผิดอันเดียวกันเป็นอีกสำนวนหนึ่งว่าจำเลยเป็นผู้จัดการสถานการค้าประเวณีโดยมิได้ขอให้พิจารณา คดีรวมกันเห็นได้ว่าเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษในกรรมเดียวซ้ำกัน 2 ครั้งข้อหาในอีกสำนวนหนึ่งนั้นย่อมหมายความว่าจำเลยมีรายได้จากสินจ้างซึ่งได้รับจากลูกค้าของสถานการค้าประเวณี แล้วจำเลยแบ่งรายได้นั้นให้แก่หญิงที่ค้าประเวณีแต่ข้อหาในสำนวนนี้ว่าจำเลยดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงที่ค้าประเวณีในสถานที่แห่งเดียวกัน เมื่อในคดีอีกสำนวนหนึ่งนั้นจำเลยรับสารภาพข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้วจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้องคดีสำนวนนี้เสีย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ถึงวันที่๑๑ ธันวาคม ๒๕๑๕ ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน จำเลยไม่มีปัจจัยอย่างอื่นสำหรับดำรงชีพ ได้ดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงในการค้าประเวณี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๖ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๐ นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๓๒๐/๒๕๑๕ ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ
ก่อนสืบพยาน คู่ความแถลงรับกันว่า ข้อหาที่จำเลยถูกฟ้องคดีนี้และคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๓๒๐/๒๕๑๕ เป็นกรรมเดียวกัน พนักงานสอบสวนแยกสอบสวนเป็นสองสำนวน โจทก์จึงฟ้องเป็นสองสำนวน สำหรับคดีดำที่ ๑๓๒๐/๒๕๑๕ ที่โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาว่าเป็นเจ้าของและผู้จัดการสถานการค้าประเวณีนั้น ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย วินิจฉัยว่า ข้อหาที่จำเลยถูกฟ้องคดีนี้และคดีดำที่ ๑๓๒๐/๒๕๑๕ เป็นกรรมเดียวกัน สำหรับคดีอาญาดำที่ ๑๓๒๐/๒๕๑๕ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยแล้วเป็นคดีแดงที่ ๑๓๑๔/๒๕๑๕สิทธิของโจทก์ที่นำคดีมาฟ้องจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๔) พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นชอบที่จะรวมการพิจารณาคดีนี้กับคดีดำที่ ๑๓๒๐/๒๕๑๕ คดีแดงที่ ๑๓๑๔/๒๕๑๕ ของศาลชั้นต้น แล้วลงโทษด้วยบทหนัก เพราะการกระทำความผิด ๒ คดีนี้เป็นกรรมเดียวกัน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีนี้สำนวนหนึ่ง และในวันเดียวกันนั้นพนักงานอัยการโจทก์ยังได้ยื่นฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการกระทำความผิดในวันเวลาเดียวกันเป็นอีกสำนวนหนึ่ง คือ คดีหมายเลขดำที่ ๑๓๒๐/๒๕๑๕ ของศาลชั้นต้น ในข้อหาว่าเป็นผู้จัดการสถานการค้าประเวณี ซึ่งโจทก์เองเห็นว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวกันแต่มิได้ร้องขอให้พิจารณาคดีรวมกัน กลับขอให้นับโทษคดีทั้งสองต่อซึ่งกันและกัน คดีหมายเลขดำที่ ๑๓๒๐/๒๕๑๕ นั้น จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษปรับจำเลยเป็นคดีหมายเลขแดงที่ ๑๓๑๔/๒๕๑๕โจทก์อุทธรณ์ในคดีนั้นขอให้รวมการพิจารณาเข้ากับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการที่จะรวมการพิจารณาหรือไม่นั้น เป็นดุลพินิจของศาล กรณีไม่มีเหตุที่จะสั่งรวมพิจารณา พิพากษายืน โจทก์ยังฎีกาคดีนั้นต่อมา
เห็นว่า ข้อหาของคดีทั้งสองสำนวนนี้เนื่องจากการกระทำอันเดียวกันในเวลาและสถานที่เดียวกัน ตามข้อหาในคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๒๐/๒๕๑๕หมายเลขแดงที่ ๑๓๑๔/๒๕๑๕ นั้นย่อมหมายความว่า จำเลยมีรายได้จากสินจ้างซึ่งจำเลยหรือพนักงานของจำเลยได้รับจากลูกค้าของสถานการค้าประเวณีที่จำเลยเป็นผู้จัดการ แล้วจำเลยจึงแบ่งเงินรายได้นั้นให้แก่หญิงซึ่งทำการค้าประเวณีในการค้าประเวณีนั้น หญิงซึ่งค้าประเวณีจึงเป็นฝ่ายมีรายได้จากการจัดการของจำเลยจากลักษณะของการกระทำของจำเลยดังกล่าวนี้ โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ด้วยว่าจำเลยดำรงชีพจากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณีในสถานที่แห่งเดียวกันนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษในกรรมเดียวซ้ำกันเป็นครั้งที่สอง ฉะนั้น เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์เองประกอบกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ ๑๓๒๐/๒๕๑๕ และได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้วก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นกรรมเดียวกับที่ศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ปัญหาที่ว่า ศาลชั้นต้นชอบที่จะรวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนนี้หรือไม่ ยอมตกไปในตัว
พิพากษายืน