คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5159/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 คงมีแต่จำเลยที่ 5เท่านั้นที่อุทธรณ์ ส่วนจำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้ถอนอุทธรณ์แล้ว แต่เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 เป็นคนร้าย ย่อมเป็นเหตุในลักษณะคดีที่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 3 ที่ 4 ด้วยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันมีและใช้อาวุธปืน ๔ กระบอกจี้ขู่เข็ญบังคับว่าในทันใดนั้นจะยิงประทุษร้ายผู้เสียหายมิให้ต่อสู้ขัดขืน ทั้งนี้ เพื่อความ-สะดวกแก่การปล้นทรัพย์ เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ เพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ และเพื่อ-ความสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๘๓, ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์จำนวน๗,๕๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี, ๘๓ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ คนละ ๑๘ ปี จำเลยที่ ๕ มีความผิดตามประมวล-กฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสอง, ๘๓ ให้จำคุกจำเลยที่ ๕ มีกำหนด๑๒ ปี ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน ๗,๕๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ อุทธรณ์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาตและจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑ถึงที่ ๔
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอจะลงโทษจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ได้ แม้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ มิ-ได้อุทธรณ์ แต่เหตุดังกล่าวอยู่ในลักษณะคดี พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังได้ว่าจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ เป็นคนร้าย ย่อมเป็นเหตุในลักษณะคดี ที่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องไปถึงจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share