แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ข้อกิจการจำนองเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2521 ต่อมาอีก 3 วัน คือวันที่ 29 พฤษภาคม2521 จำเลยที่ 2 ได้มาทำสัญญาจำนองเครื่องจักรเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 แก่โจทก์ แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาจดทะเบียนเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ข้อกิจการจำนองเพื่อมาทำสัญญาจำนองเครื่องจักรแก่โจทก์ตามฟ้อง ดังนี้ เมื่อต่อมาภายหลังคือวันที่ 1 มิถุนายน 2521นายทะเบียนรับจดทะเบียนเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ข้อกิจการจำนองให้ตามที่จำเลยที่ 2 ขอจดทะเบียนแล้ว แม้วัตถุประสงค์ข้อกิจการจำนองนั้น ยังไม่ได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาก็ตามฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกก็อาจถือเอาประโยชน์จากการขอจดทะเบียนเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในข้อกิจการจำนองของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวได้แล้ว ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1023 สัญญาจำนองผูกพันจำเลยที่ 2 ได้.
สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำไว้แก่โจทก์ มีจำเลยที่ 4ลงชื่อและประทับตราห้างจำเลยที่ 2 ในขณะทำสัญญานั้น จำเลยที่ 2จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตัวหุ้นส่วนผู้จัดการจากจำเลยที่ 4 เป็นจำเลยที่ 3 แล้ว แสดงว่าหลังจากจำเลยที่ 3 เข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการสืบต่อจากจำเลยที่ 4 แล้ว จำเลยที่ 3 ยังคงยอมให้จำเลยที่ 4 ครอบครองตราของห้างอยู่ และเมื่อจะทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ก็ยินยอมให้จำเลยที่ 4 เป็นผู้ดำเนินการเสมือนยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตามเดิม โดยจำเลยที่ 3 มิได้ทักท้วงว่ากล่าวหรือแจ้งให้โจทก์ทราบพฤติการณ์บ่งชัดว่าจำเลยที่ 3 เชิดจำเลยที่ 4 ให้แสดงออกเป็นตัวแทนของตนในการทำสัญญาค้ำประกันในนามห้างจำเลยที่ 2ซึ่งโจทก์มิได้ล่วงรู้ข้อความจริงจำเลยที่ 2 จึงจำต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 821
เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจึงต้องรับผิดในหนี้ของห้างต่อโจทก์ด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกค้าของโจทก์ เป็นหนี้โจทก์อยู่ ๓ รายการ รวมเป็นหนี้ทั้งหมดคิดถึงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๖ เป็นเงิน ๑๔,๘๘๔,๙๔๕.๘๔ บาท หนี้ทั้งสามรายการดังกล่าว มีนางสุวรรณา และจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และนำหลักทรัพย์มาจำนองเป็นประกันโดยมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองว่าถ้าบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์จำนองไม่พอให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นชำระจนครบ ต่อมานางสุวรรณา ถึงแก่กรรม จำเลยที่ ๔ถึงที่ ๑๐ ในฐานะทายาทจึงต้องรับผิดในหนี้ของนางสุวรรณา และจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ ๒ ด้วย โจทก์ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้วจำเลยต่างไม่ยอมชำระ จึงขอให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันชำระเงินค่าใช้จ่ายในการบังคับจำนองอีก ๕๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น๑๔,๘๘๕,๔๔๕.๘๔ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปีของต้นเงิน ๑,๘๑๓,๕๕๗.๑๙ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๑๙ ต่อปี ของต้นเงิน ๗,๘๐๙,๖๗๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒และที่ ๓ และทรัพย์สินอื่น ๆ ในกองมรดกของนางสุวรรณา ขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า สัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ และสัญญาจำนองเครื่องจักร ผู้ที่ลงชื่อในสัญญาไม่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๒ และการกระทำดังกล่าวอยู่นอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๒ด้วย จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๕ ที่ ๖ และที่ ๗ ให้การว่า ยอดหนี้ทั้งสามรายการไม่ถูกต้อง นางสุวรรณา ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองตามฟ้องขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๙ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑๐ เพราะโจทก์ถอนฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์เป็นการไถ่ถอนจำนองเป็นเงิน ๗,๗๙๑,๐๙๑.๙๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปี จากต้นเงิน ๑,๑๘๒,๓๑๑.๕๒ บาทนับแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๒๔ ดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี จากต้นเงิน ๓,๓๓๕,๖๘๐.๓๘ บาท นับแต่วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ๓,๒๗๓,๑๐๐ บาท นับแต่วันที่๑๒ มกราคม ๒๕๒๒ จนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องขายทอดตลาดชำระหนี้ หากยังไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๒ ชำระจนครบ
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๕ ที่ ๖ และที่ ๗ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ถ้าบังคับจำนองไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ในกองมรดกของนางสุวรรณา สุวิพร ขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ขึ้นสู่ศาลฎีกามีว่า สัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ ๒ ทำไว้แก่โจทก์ผูกพันจำเลยที่ ๒และมีผลถึงจำเลยที่ ๓ หรือไม่ ปรากฏว่าในขณะทำสัญญาจำนองเครื่องจักรตามฟ้องในบริษัทจำเลยที่ ๑ มีจำเลยที่ ๔ และนางสุวรรณาเป็นกรรมการซึ่งมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ได้ ส่วนในห้างจำเลยที่ ๒ ก็มีจำเลยที่ ๔ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและมีนางสุวรรณา เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่ง ดังนี้ ในเบื้องต้นจึงเห็นได้ว่าผู้มีอำนาจจัดการจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ในขณะนั้นเป็นชุดเดียวกัน ดังนั้นการที่จำเลยที่ ๒ จะนำทรัพย์สินของตนมาจำนองแก่โจทก์เพื่อให้จำเลยที่ ๑ ได้เงินทุนมาหมุนเวียนใช้จ่ายในกิจการของจำเลยที่ ๑ ย่อมเกิดมีขึ้นได้เป็นธรรมดา ข้อเท็จจริงปรากฏตามหนังสือสัญญาจำนองและคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ว่า จำเลยที่ ๒ ยื่นคำขอจดทะเบียนในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๒๑ ต่อมาอีก ๓ วัน คือ ในวันที่๒๙ พฤษภาคม ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๒ ได้มาทำสัญญาจำนองเครื่องจักรเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ แก่โจทก์แสดงว่าจำเลยที่ ๒ มีเจตนาจะจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ข้อกิจการจำนองดังกล่าวเพื่อมาทำสัญญาจำนองเครื่องจักรแก่โจทก์ตามฟ้อง ดังนี้ เมื่อต่อมาภายหลังในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๒๑ นายทะเบียนรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในข้อกิจการจำนองให้ตามที่จำเลยที่ ๒ ขอจดทะเบียนแล้ว แม้วัตถุประสงค์ข้อกิจการจำนองอันเป็นข้อความซึ่งบังคับให้จดทะเบียนนั้น ยังไม่ได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาก็ตาม แต่ฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกก็อาจถือเอาประโยชน์จากการขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในข้อกิจการจำนองของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าวได้แล้วตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๒๓ สัญญาจำนองจึงผูกพันจำเลยที่ ๒ ส่วนกรณีสัญญาค้ำประกันนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ ๒ ทำไว้แก่โจทก์ มีจำเลยที่ ๔ ลงลายมือชื่อและประทับตราของห้างจำเลยที่ ๒ ซึ่งขณะทำสัญญานั้น จำเลยที่ ๒ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตัวหุ้นส่วนผู้จัดการจากจำเลยที่ ๔ เป็นจำเลยที่ ๓ แล้ว ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าตามข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่าหลังจากจำเลยที่ ๓ เข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการสืบต่อจากจำเลยที่ ๔ แล้ว จำเลยที่ ๓ ยังคงยอมให้จำเลยที่ ๔ ครอบครองตราของห้างอยู่และเมื่อจะทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ ก็ยินยอมให้จำเลยที่ ๔เป็นผู้ดำเนินการเสมือนยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตามเดิม โดยจำเลยที่ ๓ มิได้ทักท้วงว่ากล่าวหรือแจ้งให้โจทก์ทราบแต่ประการใดพฤติการณ์บ่งชัดว่าจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการคนใหม่ของห้างจำเลยที่ ๒ ตั้งใจเชิดจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการคนเดิมให้ออกแสดงเป็นตัวแทนของตนในการทำสัญญาค้ำประกันนั้นในนามของห้างจำเลยที่ ๒ ซึ่งโจทก์ก็มิได้ล่วงรู้ข้อความจริงเช่นว่านั้น ดังนี้ จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๑ เมื่อสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกัน มีผลผูกพันจำเลยที่ ๒ ให้ต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นนี้ จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ ๒ ก็ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ความรับผิดของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ต่อโจทก์ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.