แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ช. ตามคำสั่งศาล ซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก เมื่อโจทก์ถึงแก่ความตาย สิทธิและหน้าที่ของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลง หาได้ตกทอดไปยังทายาทของโจทก์ไม่ ส. เป็นเพียงทายาทของโจทก์เท่านั้น ไม่ปรากฏว่า ส. เป็นผู้ปกครองที่พิพาทหรือมีอำนาจจัดการทรัพย์มรดกของ ช. แต่อย่างใด ส. ย่อมไม่อาจเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 อนุญาตให้ ส. เข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของนายช่วง จันทร์ศรี ตามคำสั่งศาล โจทก์กับจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ทะเบียนเล่ม ๒๖ หน้า ๑๕๙ สารบบเลขที่ ๒๕๙ (ที่ถูก ๒๙๕) ตำบลวังยาง อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ ๕ ไร่ ๓ งาน ๖๙ ตารางวา คนละครึ่ง โจทก์มีความประสงค์ต้องการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนสัด และบอกกล่าวให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยเพิกเฉยจึงขอให้บังคับจำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวจำนวน ๒ ไร่ ๓ งาน ๘๔.๕ ตารางวา ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และหากแบ่งแยกตกลงกันไม่ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายโดยประมูลราคาระหว่างโจทก์กับจำเลยหรือขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันคนละครึ่ง
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้อง โจทก์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว และไม่เคยฟ้องเรียกเอาทรัพย์มรดกส่วนของนายช่วงจากจำเลยและจากผู้ครอบครองที่ดินคนอื่น ๆ คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๔ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ทะเบียนเล่ม ๒๖ หน้า ๑๕๙ สารบบเลขที่ ๒๙๕ ตำบลวังยาง อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ส่วนวิธีการแบ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๔ ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๕๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๗ โจทก์ถึงแก่ความตาย นางสาวสาลี จันทร์ศรี ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๔,๐๐๐ บาท
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายช่วง จันทร์ศรี ตามคำสั่งศาล ซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก เมื่อโจทก์ถึงแก่ความตาย สิทธิและหน้าที่ของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลง หาได้ตกทอดไปยังทายาทของโจทก์ไม่ นางสาวสาลี จันทร์ศรี เป็นเพียงทายาทของโจทก์เท่านั้น ไม่ปรากฏว่านางสาวสาลีเป็นผู้ปกครองที่พิพาทหรือมีอำนาจในการจัดการทรัพย์มรดกของนายช่วงแต่อย่างใด นางสาวสาลีย่อมไม่อาจเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ได้ ปัญหาว่าบุคคลที่จะเข้าแทนที่คู่ความผู้มรณะเป็นบุคคลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๒ หรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ อนุญาตให้นางสาวสาลีเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อวินิจฉัยดั่งนี้แล้วปัญหาตามฎีกาโจทก์จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ยกคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ที่อนุญาตให้นางสาวสาลี จันทร์ศรี เข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ ยกฎีกาโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๒ ก่อน แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มีคำสั่งและคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ รวมสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่.