แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยได้รับแจ้งจาก ห. ว่าผู้เสียหายล่อลวง ห. ไปที่บังกะโลเพื่อล่วงเกินทางเพศ จำเลยโกรธแค้นจึงวางแผนให้ ห. โทรศัพท์ไปหลอกผู้เสียหายให้ออกจากบ้านไปหา ห.ที่จุดเกิดเหตุเพื่อทำร้ายสั่งสอนเป็นการแก้แค้นแทน ห. เมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปถึงที่เกิดเหตุจำเลยกับพวกที่รออยู่วิ่งเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายทันทีผู้เสียหายหลบหนีจำเลยกับพวกไล่ตามและจำเลยใช้มีดขู่เข็ญพาตัวผู้เสียหายไปแล้วพวกของจำเลยใช้ของแข็งตีศรีษะผู้เสียหายจนผู้เสียหายแกล้งทำเป็นหมดสติจากนั้นจำเลยกับพวกหนีไปโดยถือโอกาสเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปด้วยซึ่งการใช้มีดขู่เข็ญผู้เสียหายและการทำร้ายผู้เสียหายในตอนหลังเป็นเรื่องต่อเนื่องมาจากสาเหตุเดิมที่จำเลยโกรธแค้นผู้เสียหายหาใช่ว่าจะมีเจตนาเอาทรัพย์ของผู้เสียหายมาแต่แรกไม่การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแต่เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจึงลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา296ไม่ได้คงลงโทษได้ตามมาตรา295เท่านั้นและจำเลยยังมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามมาตรา335(1)วรรคแรกด้วยแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธตามมาตรา340วรรคสองเพียงกระทงเดียวศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นตามมาตรา295ประกอบด้วยมาตรา83กระทงหนึ่งและฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามมาตรา335(1)วรรคแรกอีกกระทงหนึ่งซึ่งมีโทษเบากว่าข้อหาฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192
ในชั้นพิจารณาจำเลยนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ว่าหลังจากมีเรื่องชกต่อยกับผู้เสียหายเมื่อเวลา22.30น.แล้วจำเลยขับรถกลับบ้านและไม่ได้ออกไปไหนอีกซึ่งเหตุการณ์ตอนนี้สิ้นสุดลงแล้วจำเลยจะมาฎีกาโต้แย้งว่าคืนเกิดเหตุเวลา0.30น.จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยบันดาลโทสะเพราะผู้เสียหายเหยียดหยามศักดิ์ศรีจำเลยโดยพา ห. เข้าบังกะโลเพื่อข่มขืนกระทำชำเราหาได้ไม่เพราะไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง มีไม้ไม่ทราบขนาดและมีดปลายแหลมเป็นอาวุธติดตัว ร่วมกันปล้นทรัพย์รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน นครศรีธรรมราช ร – 0732 ราคา 70,000 บาท เงินสดจำนวน 15,000 บาท สร้อยคอทองคำ 1 เส้น ราคา 5,000 บาท สร้อยข้อมือทองคำ 1 เส้น ราคา 15,000 บาท แหวนทองคำ 1 วง ราคา 7,000 บาท และเอกสารต่าง ๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 170,000 บาท ของนายปรัชญา นวลรอด ผู้เสียหายไปโดยทุจริต ในการปล้นทรัพย์ดังกล่าว จำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดยใช้ไม้ทุบตีและใช้มีดปลายแหลมจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายมิให้ขัดขืน เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้นยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้และเพื่อให้พ้นจากการจับกุมขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,340 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 170,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340 วรรคสอง จำคุก 15 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 170,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน112,000 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2539 เวลาประมาณ 3 นาฬิกา นายปรัชญา นวลรอด ผู้เสียหายได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชกล่าวหาว่าจำเลยกับพวกรวม 4 ถึง 5 คน ได้ร่วมกันรุมทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและปล้นทรัพย์ตามฟ้องของผู้เสียหายไป เหตุเกิดเมื่อเวลา 0.30 นาฬิกา ของวันเดียวกันนั้นที่บริเวณปากทางหมู่บ้านการเคหะ ถนนพัฒนาการคูขวาง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมาวันที่ 8 ตุลาคม 2540 เจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุมจำเลยมาดำเนินคดีนี้ได้ สำหรับข้อที่จำเลยฎีกาในทำนองว่า โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายที่ศีรษะนั้น เห็นว่าในชั้นพิจารณา จำเลยได้แถลงยอมรับว่านายอัศวิน แก้วเนตร แพทย์โรงพยาบาลนครินทร์ เป็นผู้ตรวจชันสูตรบาดแผลของผู้เสียหายและทำรายงานไว้ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.2 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าวว่า คืนเกิดเหตุผู้เสียหายถูกคนร้ายทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายเป็นบาดแผลที่กลางศีรษะยาวประมาณ 5 เซนติเมตร และลึกประมาณ0.5 เซนติเมตร จำเลยจะมาฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ เพราะขัดกับข้อเท็จจริงที่จำเลยได้แถลงรับแล้วและไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย นอกจากนี้เนื้อหาตามฎีกาของจำเลย จำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยชัดแจ้งว่า จำเลยมิใช่คนร้ายที่ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้ว่าจำเลยกับพวกเป็นคนร้ายที่ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.2 ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาในทำนองว่า จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยเหตุบันดาลโทสะนั้น เห็นว่าในชั้นพิจารณาจำเลยนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่ว่า หลังจากจำเลยมีเรื่องชกต่อยกับผู้เสียหายเมื่อเวลา 22.30 นาฬิกาเศษ ของวันที่ 7 ธันวาคม 2539 และมีคนเข้าไปห้ามแล้ว จำเลยก็ขับรถกลับไปที่บ้านและไม่ได้ออกไปไหนอีก ซึ่งเหตุการณ์ตอนนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว จำเลยจะมาฎีกาโต้เถียงว่า คืนเกิดเหตุเวลา 0.30 นาฬิกา จำเลยได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยเหตุบันดาลโทสะ เนื่องจากผู้เสียหายเหยียดหยามศักดิ์ศรีจำเลยโดยล่อลวงพานางสาว ห. ภริยาจำเลยเข้าบังกะโลเพื่อข่มขืนกระทำชำเราหาได้ไม่ เพราะไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นเดียวกัน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายพยานโจทก์ว่า เมื่อเวลาประมาณ 18 นาฬิกา ของวันที่ 7 ธันวาคม 2539 ผู้เสียหายได้ขับรถจักรยานยนต์ไปรับนางสาว ห. ซึ่งเคยเป็นคนรักของจำเลยไปรับประทานอาหารและดื่มเบียร์ด้วยกันที่ร้านอาหารดีดี เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วผู้เสียหายจะพานางสาว ห. ไปร่วมประเวณีที่บังกะโลเบญจธารารีสอร์ท แต่นางสาว ห. ไม่ยอมและได้หนีไป ผู้เสียหายจึงขับรถกลับบ้านและเข้านอน ต่อมาเวลาก่อนเที่ยงคืนนางสาว ห. โทรศัพท์ไปหาผู้เสียหายที่บ้านบอกว่าขณะนั้นนางสาว ห. อยู่ที่ปากซอยเข้าหมู่บ้านการเคหะและมีกลุ่มวัยรุ่นอยู่บริเวณนั้น นางสาว ห. รู้สึกกลัวจึงขอให้ผู้เสียหายออกไปรับเพื่อพาไปส่งที่บ้านซึ่งอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว ผู้เสียหายจึงขับรถจักรยานยนต์คันตามฟ้องออกไปรับนางสาว ห. ตามที่นางสาว ห. ร้องขอเมื่อผู้เสียหายขับรถไปถึงปากซอยหมู่บ้านการเคหะก็พบนางสาว ห. อยู่บริเวณนั้นแต่ยังไม่ทันที่นางสาว ห. จะเข้ามาหาผู้เสียหาย กลุ่มวัยรุ่นประมาณ 4 ถึง 5 คน ซึ่งมีจำเลยรวมอยู่ด้วยได้วิ่งเข้ามาใช้ไม้ตีผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายหลบทัน ผู้เสียหายทิ้งรถจักรยานยนต์แล้ววิ่งหนีไปที่โรงแรมเซาธ์เธิร์น บี เอ็ม ขอความช่วยเหลือจากยามรักษาการณ์ซึ่งอยู่บริเวณลานจอดรถ จำเลยกับพวกได้ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายและรถจักรยานยนต์อีกคันหนึ่งไล่ติดตามไปจนทัน จำเลยบอกยามรักษาการณ์ว่ามีเรื่องกันนิดหน่อย จากนั้นจำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมจี้ผู้เสียหายบังคับให้ขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายซึ่งมีพวกของจำเลยเป็นคนขับ แล้วจำเลยขึ้นนั่งซ้อนท้ายต่อจากผู้เสียหาย พวกของจำเลยได้ขับรถพาผู้เสียหายมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ระหว่างทางจำเลยได้ปลดเอาสร้อยข้อมือทองคำหนัก 3 บาท จำนวน 1 เส้น สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 1 เส้น พร้อมจี้ทองคำ เมื่อถึงบริเวณทางเข้าวัดโบสถ์ จำเลยสั่งให้ผู้เสียหายลงจากรถแล้วพวกของจำเลยได้ใช้ไม้หรือเหล็กตีที่บริเวณศีรษะผู้เสียหาย ผู้เสียหายล้มลงและแกล้งทำเป็นหมดสติไป จำเลยปรึกษากับพวกว่าจะพาผู้เสียหายไปทิ้งที่ไหนดี มีคนเสนอว่าให้เอาไปทิ้งในวัดโบสถ์พวกของจำเลยจึงจับผู้เสียหายขึ้นนั่งบนรถจักรยานยนต์เหมือนเดิมโดยมีจำเลยนั่งซ้อนท้าย ระหว่างทางจำเลยได้ล้วงเอากระเป๋าสตางค์ซึ่งมีเงินสดอยู่จำนวน 15,000 บาท พร้อมเอกสารและแหวนทองคำหัวพลอย 1 วง ของผู้เสียหายไปด้วย เมื่อเข้าไปภายในวัดโบสถ์ จำเลยกับพวกได้ผลักผู้เสียหายลงจากรถแล้วถีบผู้เสียหายตกลงไปในคูน้ำข้างทาง จากนั้นจำเลยกับพวกก็ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายกับรถจักรยานยนต์ของพวกจำเลยหลบหนีไป เห็นว่า คดีนี้โจทก์คงมีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวที่เบิกความอ้างว่า จำเลยเอาทรัพย์ตามฟ้องของผู้เสียหายไปที่ผู้เสียหายออกไปรับนางสาว ห. ที่หน้าหมู่บ้านการเคหะที่เกิดเหตุก็มีเหตุผลน่าเชื่อตามที่จำเลยนำสืบว่าเมื่อนางสาว ห. หนีออกจากบังกะโลเบญจธารารีสอร์ท ได้แล้วนางสาว ห. ได้เล่าเหตุการณ์ที่ถูกผู้เสียหายพาเข้าบังกะโลเพื่อขอร่วมประเวณีให้จำเลยฟัง จึงมีการวางแผนล่อให้ผู้เสียหายออกจากบ้านมายังที่เกิดเหตุแล้วจึงเกิดเหตุคดีนี้ขึ้น ดังนั้น ศาลฎีกาจึงต้องรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายด้วยความระมัดระวังปรากฏว่าคดีนี้หลังจากที่ศาลชั้นต้นสืบพยานคู่ความทั้งสองฝ่ายเสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นได้เรียกสำนวนการสอบสวนจากโจทก์มาเพื่อประกอบการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 175 ซึ่งศาลฎีกาได้ตรวจดูสำนวนการสอบสวนดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าหลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้จับกุมนางสาว ห. มาดำเนินคดีนี้ด้วย แต่ในที่สุดพนักงานสอบสวนก็มีคำสั่งไม่ฟ้องนางสาว ห. ซึ่งขณะตกเป็นผู้ต้องหา นางสาว ห. ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า หลังจากที่นางสาว ห. ถูกผู้เสียหายพาเข้าบังกะโลเบญจธารารีสอร์ทเพื่อร่วมประเวณี แต่นางสาว ห. ไม่ยอมและสามารถหลบหนีออกมาได้แล้ว ขณะที่นางสาว ห. เดินร้องไห้จะเข้าบ้านพักนั้นได้พบจำเลยซึ่งเคยเป็นคนรักของตน นางสาว ห. จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จำเลยฟัง จำเลยให้นางสาว ห. โทรศัพท์เรียกผู้เสียหายมาพูดกัน นางสาว ห. จึงโทรศัพท์เรียกผู้เสียหายมายังที่เกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์มาถึงที่เกิดเหตุจำเลยกับพวกก็วิ่งเข้าไปใช้ไม้ตีผู้เสียหาย ผู้เสียหายวิ่งหนีไปทางโรงแรมเซาธ์เธิร์น บี เอ็ม จำเลยกับพวกไล่ติดตามไป โดยน้องชายจำเลยขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไล่ติดตามไป นางสาว ห. รออยู่บริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 1 ชั่วโมง จำเลยก็ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายกลับมาแต่เพียงผู้เดียว จำเลยได้มาชักชวนนางสาว ห. ให้หลบหนี โดยแจ้งว่าเพื่อนจำเลยตีศีรษะผู้เสียหายและผู้เสียหายกำลังจะตายจากนั้นจำเลยก็ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายหลบหนีไปเห็นว่า คืนเกิดเหตุจำเลยกับพวกรุมทำร้ายผู้เสียหายก็เพื่อแก้แค้นแทนนางสาว ห. ในเรื่องที่ผู้เสียหายกระทำการหยามเกียรติพานางสาว ห. เข้าบังกะโลจะล่วงเกินทางเพศไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่านางสาว ห. จะให้การต่อพนักงานสอบสวนปรักปรำจำเลยซึ่งได้ล้างแค้นผู้เสียหายแทนตนโดยปราศจากมูลความจริง ทั้งนางสาว ห. ก็ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนทันทีในวันที่ถูกจับกุม นางสาว ห. ย่อมไม่ทันมีโอกาสคบคิดกับผู้หนึ่งผู้ใดให้การปรักปรำหรือช่วยเหลือจำเลย น่าเชื่อว่านางสาว ห. ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามเหตุการณ์ที่ตนพบเห็นตามความสัตย์จริง คำให้การชั้นสอบสวนของนางสาว ห. ดังกล่าวแม้จะเป็นพยานบอกเล่าและเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาในคดีเดียวกัน ก็ไม่มีบทบัญญัติห้ามมิให้รับฟัง ศาลฎีกาจึงนำมารับฟังประกอบการวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคหนึ่ง นอกจากนี้ผู้เสียหายก็เบิกความยืนยันว่าจนถึงปัจจุบันนี้ผู้เสียหายยังไม่ได้รับรถจักรยานยนต์ของตนคืนมา ตามพฤติการณ์แห่งคดีจึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าหลังจากจำเลยกับพวกรุมทำร้ายร่างกายผู้เสียหายแล้ว จำเลยได้ลักเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปเป็นประโยชน์ของจำเลยจริง ส่วนทรัพย์สินรายการอื่นนอกจากนี้ที่ผู้เสียหายเบิกความอ้างว่าถูกจำเลยลักเอาไปด้วยนั้น เห็นว่า คงมีแต่ตัวผู้เสียหายเบิกความอ้างลอย ๆ และยังเป็นที่น่าสงสัยกล่าวคือ คืนเกิดเหตุผู้เสียหายได้เข้านอนแล้ว ครั้นเมื่อได้รับโทรศัพท์จากนางสาว ห. ผู้เสียหายก็รีบขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านไปหานางสาว ห. ทันที ซึ่งในเวลาฉุกละหุกเช่นนั้น ผู้เสียหายไม่น่าจะนำทรัพย์สินอันมีค่ามากมายเช่นนั้นติดตัวไปด้วย ทั้งยังได้ความจากคำให้การในชั้นสอบสวนของนางสาว ห. ในสำนวนการสอบสวนว่า ก่อนไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารดีดีผู้เสียหายต้องไปเบิกเงินสดจากตู้เอทีเอ็มของธนาคารอีกด้วย ซึ่งมีเหตุผลน่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะนำไปจ่ายเป็นค่าอาหารจึงน่าสงสัยว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีเงินสดพกติดตัวไปเป็นจำนวนมากถึง 15,000 บาท จริงหรือไม่ และน่าสงสัยว่าเหตุใดผู้เสียหายจึงต้องเอาแหวนทองคำหัวพลอยใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์และพกติดตัวไปในที่เกิดเหตุเช่นนั้น นอกจากนี้ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยได้ปลดเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายคือ สร้อยข้อมือทองคำหนัก 3 บาท จำนวน 1 เส้น สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 1เส้น พร้อมจี้ทองคำไปในขณะที่จำเลยและผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายอยู่บนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่มีพวกของจำเลยอีกคนหนึ่งเป็นผู้ขับโดยจำเลยได้ถืออาวุธมีดปลายแหลมจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นที่น่าสงสัยว่าในสภาพเช่นนั้น จำเลยจะสามารถใช้มืออีกข้างหนึ่งปลดเอาทรัพย์สินดังกล่าวจากข้อมือและคอของผู้เสียหายไปได้หรือไม่ ประกอบกับคดีนี้จำเลยได้ให้การปฏิเสธมาโดยตลอดทั้งชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ปลดเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไป เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าขณะเกิดเหตุจำเลยได้ลักเงินสดจำนวน 15,000 บาท แหวนทองคำ 1 วง สร้อยคอทองคำ 1 เส้น และสร้อยข้อมือทองคำ1 เส้น ของผู้เสียหายไปจริงหรือไม่ เช่นนี้ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยในข้อนี้ให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง คดีคงมีข้อต้องพิจารณาต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานใดบ้างหรือไม่ เห็นว่า ตามรูปเรื่องที่คู่ความนำสืบมานี้มีเหตุผลน่าเชื่อว่าหลังจากจำเลยได้รับแจ้งจากนางสาว ห. ว่าผู้เสียหายล่อลวงพานางสาว ห. ไปที่บังกะโลเบญจธารารีสอร์ท เพื่อล่วงเกินทางเพศแล้ว จำเลยรู้สึกโกรธแค้นผู้เสียหายจึงได้วางแผนให้นางสาว ห. โทรศัพท์ไปหลอกล่อผู้เสียหายให้ออกจากบ้านไปหานางสาว ห. ที่หน้าหมู่บ้านการเคหะที่เกิดเหตุเพื่อทำร้ายสั่งสอนเป็นการล้างแค้นแทนนางสาว ห. ดังนั้น เมื่อผู้เสียหายขับรถไปถึงบริเวณที่เกิดเหตุ จำเลยกับพวกซึ่งรออยู่ในที่เกิดเหตุจึงได้วิ่งเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายทันที เมื่อผู้เสียหายหลบหนี จำเลยกับพวกก็ไล่ติดตามไปและจำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมจี้ขู่เข็ญพาตัวผู้เสียหายไปแล้วพวกของจำเลยได้ใช้ของแข็งตีศีรษะผู้เสียหายจนผู้เสียหายแกล้งทำเป็นหมดสติไป จากนั้นจำเลยกับพวกจึงหลบหนีไป โดยจำเลยได้ถือโอกาสเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปด้วย การใช้มีดปลายแหลมจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายและการทำร้ายผู้เสียหายในตอนหลังจึงเป็นเรื่องต่อเนื่องกันมาจากสาเหตุเดิมคือ จำเลยโกรธที่ผู้เสียหายพานางสาว ห. เข้าบังกะโลเพื่อล่วงเกินทางเพศ หาใช่ว่าจำเลยมีเจตนาจะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายมาแต่แรกไม่ การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่เนื่องจากโจทก์มิได้บรรยายมาในคำฟ้องว่า จำเลยได้กระทำความผิดโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลฎีกาจึงลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 มิได้ คงลงโทษจำเลยได้ตามมาตรา 295 เท่านั้น และจำเลยยังมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามมาตรา 335(1) วรรคแรก ด้วยแม้คดีนี้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง กระทงเดียว ศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 83 กระทงหนึ่ง และฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง ซึ่งมีโทษเบากว่าข้อหาฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ตามแบบอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3794/2528 ระหว่างพนักงานอัยการกรมอัยการ โจทก์ พลทหารสุนทร แซ่เบ๊ จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295ประกอบด้วยมาตรา 83 และมาตรา 335(1) วรรคแรก อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยทุกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายจำคุก 6 เดือน ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน จำคุก 3 ปี รวมเป็นจำคุก 3 ปี 6 เดือน ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 2 ปี 7 เดือน 15 วัน กับให้จำเลยคืนรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน นครศรีธรรมราช ร – 0732 แก่ผู้เสียหาย หากคืนให้ไม่ได้ก็ให้จำเลยใช้ราคาแทนเป็นเงินจำนวน 70,000 บาท แก่ผู้เสียหาย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก