คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5149/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.วิ.พ. มาตรา 1 (11) คำว่า คู่ความ หมายความว่า บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล ฯลฯ ผู้ที่จะเป็นคู่ความในคดีได้นั้นจะต้องเป็นบุคคลตามกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. ได้แก่ บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล สำหรับนิติบุคคลจะมีขึ้นได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตาม ป.พ.พ. หรือกฎหมายอื่น ดังบัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 65 โจทก์เป็นคณะกรรมการสำนักสงฆ์วัดหนองเวียนโสภาศรัทธารามหรือวัดหนองเวียนวัฒนาราม เป็นเพียงกลุ่มบุคคลซึ่งรวมตัวกันโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล จึงไม่อาจเป็นคู่ความได้ เมื่อตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่ากรรมการโจทก์คนใดได้ฟ้องคดีในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้ครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่า การโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ภายใน 7 วันนับแต่วันที่มีคำพิพากษา ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมระหว่างกันและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน หากจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา
ระหว่างการพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายเกียม อยู่มี เข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นายเกียมจำเลยร่วมถึงแก่ความตายนายเสงี่ยม และนายจากหรือบุญจิต ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วม ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินคืนให้แก่โจทก์ พร้อมทั้งส่งมอบโฉนดที่ดินทั้ง 7 ฉบับตามฟ้องให้แก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินคืนให้แก่โจทก์ทั้งสิบห้าในฐานะกรรมการสำนักสงฆ์วัดหนองเวียนโสภาศรัทธารามหรือวัดหนองเวียนวัฒนาราม พร้อมทั้งส่งมอบโฉนดที่ดินทั้ง 7 ฉบับ ตามฟ้องแก่โจทก์ทั้งสิบห้าคนดังกล่าว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นที่เสียเกินมา 2,130 บาท แก่โจทก์ กับค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ที่เสียเกินมา 2,130 บาทแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (11) คำว่า คู่ความหมายความว่า บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล ฯลฯ ซึ่งคำว่า บุคคล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่ บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สำหรับนิติบุคคลจะมีขึ้นได้ก็แต่ด้วยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 65 โจทก์เป็นคณะกรรมการสำนักสงฆ์วัดหนองเวียนโสภาศรัทธารามหรือวัดหนองเวียนวัฒนาราม เป็นเพียงกลุ่มบุคคลซึ่งรวมตัวกันโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล คณะกรรมการสำนักสงฆ์วัดหนองเวียนโสภาศรัทธารามจึงไม่อาจเป็นคู่ความได้ ทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินมือเปล่ารวม 7 แปลง มีผู้แจ้งการครอบครองตั้งแต่ปี 2498 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่นายพินและราษฎรหมู่บ้านโชคตกลงกันสร้างวัดพิพาทในปี 2500 โดยผู้แจ้งการครอบครองที่ดิน ในปี 2526 ทางราชการพิจารณาแล้วออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) ให้แก่นางรุนย์ นายทุเรียน นายงาม นายพิน และนายสุภาพ บุตรของนายดี ต่อมานางรณย์ นายทุเรียน นายงาม และนายสุภาพให้นายพินมีชื่อเป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงของตนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เพื่อสร้างวัด ในปี 2527 ทางราชการออกโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่นายพิน ที่ดินพิพาททั้ง 7 แปลง จึงมีผู้มีกรรมสิทธิ์เพียง 5 คน คือ นางรุนย์ นายทุเรียน นายงาม นายพิน และนายสุภาพ เมื่อที่ดินพิพาทยังไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการให้สร้างวัดตามกฎหมาย จึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลดังกล่าว ดังนั้น แม้กรรมการจะลงลายมือชื่อมอบอำนาจให้นายมวย ฟ้องคดีแทน แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่ากรรมการโจทก์คนใดได้ฟ้องคดีในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อได้วินิจฉัยดังนี้แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมอีก เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share