คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือนจนกว่าจำเลยจะส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยยังไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษา หนี้ค่าเสียหายย่อมเพิ่มพูนขึ้นทุกเดือนและยังไม่แน่นอนว่าจะมีจำนวนเท่าใด การบังคับคดีจึงอาจต้องรวมค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย แม้โจทก์จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยและประเมินราคาที่ดินไว้ก็เป็นเพียงการประมาณการเบื้องต้นเท่านั้น ยังมิใช่เป็นราคาที่แน่นอนเพราะการขายทอดตลาดอาจขายได้ราคาสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาประเมินก็ได้ การที่มีบ้านของจำเลยสามหลังปลูกอยู่บนที่ดินที่ยึดไว้ด้วยนั้น ไม่ว่าโจทก์จะนำยึดบ้านทั้งสามหลังด้วยหรือไม่ ท้ายที่สุดเมื่อมีการขายทอดตลาดที่ดินและบุคคลภายนอกเป็นผู้ซื้อที่ดินได้ จำเลยก็จะต้องออกจากบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินที่ยึดไว้ การที่โจทก์นำยึดบ้านทั้งสามหลังดังกล่าว จึงมิใช่มีเจตนากลั่นแกล้งหรือกดดันจำเลยแต่อย่างใด อีกทั้งบ้านทั้งสามหลังมีราคาเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ดินที่ยึดไว้ จึงมิใช่กระทำไปโดยมีเจตนามุ่งเพิ่มภาระค่าธรรมเนียมการยึดแก่จำเลย นอกจากนี้หากโจทก์มิได้นำยึดบ้าน กรณีอาจเป็นปัญหาแก่ผู้ซื้อทอดตลาดที่จะต้องดำเนินการให้มีการรื้อถอนขนย้ายบ้านดังกล่าวออกไปในภายหลัง อันมีผลทำให้ไม่มีผู้สนใจซื้อทอดตลาดหรือขายได้ราคาต่ำไป อันจะเป็นผลร้ายแก่จำเลยยิ่งกว่าการขายทอดตลาดที่ดินและบ้านไปในคราวเดียวกันอันเป็นการสะดวกแก่การบังคับคดีขายทอดตลาด และน่าจะเป็นผลให้ขายทอดตลาดได้ในราคาที่ดีกว่า การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและบ้านทั้งสามหลังที่ปลูกอยู่บนที่ดินมาในคราวเดียวกันโดยบ้านทั้งสามหลังมีราคาไม่สูงมาก จึงมีเหตุผลอันสมควร ไม่อาจถือว่าโจทก์ยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในคดีและค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 284 วรรคหนึ่ง
การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะวางเงินหรือหาประกันมาให้ไว้ต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งถอนหรืองดการบังคับคดีนั้น ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องวางเงินหรือหาประกันมาให้เป็นจำนวนเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 (1) คดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายเดือน นับแต่เดือนตุลาคม 2527 จนกว่าจะส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ ในการคำนวณยอดหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว จำต้องรู้วันเวลาที่จำเลยส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ จึงจะคิดคำนวณจำนวนค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้ แต่เมื่อจำเลยยังมิได้ส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้แก่โจทก์ จำนวนค่าเสียหายย่อมจะต้องทวีเพิ่มขึ้นทุกเดือนจนกว่าจำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้ไม่สามารถคำนวณยอดหนี้ให้เป็นการแน่นอนได้ และเมื่อไม่รู้จำนวนหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามคำพิพากษาก็ย่อมไม่สามารถกำหนดจำนวนเงินที่จะให้จำเลยนำมาวางต่อศาลหรือพิจารณาประกันที่จำเลยจะหามาให้ไว้ต่อศาลว่าเป็นจำนวนเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีหรือไม่เพื่อที่จะมีคำสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์หรืองดการบังคับคดีต่อไปได้ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองปฏิเสธที่จะกำหนดจำนวนเงินที่จำเลยประสงค์จะขอวางต่อศาลเพื่อให้ถอนการยึดทรัพย์หรืองดการบังคับคดี จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยลงนามในหนังสือมอบอำนาจตามฟ้อง หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 68,750บาท นับแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2527 จนกว่าจะส่งมอบอาคารพาณิชย์ 29 คูหา พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ แต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 94636 แขวงลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) เขตบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวคือบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 3 หลัง เลขที่ 101, 101/1 และ 103 จำเลยยื่นคำร้อง 2 ฉบับ ทำนองเดียวกันว่า จำเลยได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 9487/2539 เรื่อง ผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน และเรียกให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 747,926,031 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 733,124,700 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หรือจำเลยในคดีนี้ หากจำเลยชนะคดีดังกล่าวก็สามารถหักกลบลบหนี้กันได้โดยไม่จำต้องยึดทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดและไม่ทำให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใด ขอให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างที่โจทก์จะขอบังคับคดี หรือให้งดการบังคับคดี หรืองดการขายทอดตลาดทรัพย์ไว้ก่อน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาให้จำเลยทั้งหมด ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2543
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 จำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์มีสิทธิคำนวณค่าเสียหายจากจำเลยเป็นเงิน 9,556,250 บาท แต่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยซึ่งมีราคาเป็นเงิน 29,025,000 บาท เพียงพอชำระหนี้แล้ว แต่โจทก์กลับนำยึดบ้านพักอาศัยของจำเลยคือบ้านเลขที่ 101, 101/1 และ 103 รวม 3 หลัง ราคา 700,000 บาท ด้วย ซึ่งเกินกว่าที่พอชำระหนี้โดยไม่สุจริต ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดบ้านทั้งสามหลังดังกล่าว และให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมการถอนการยึดโดยมิชอบ จำเลยประสงค์จะวางเงินต่อศาลเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดที่ดินดังกล่าวโดยจำเลยจะหาหลักประกันมาวางศาลให้เพียงพอชำระหนี้จำนวน 9,556,250 บาท ขอให้มีคำสั่งกำหนดจำนวนเงินที่โจทก์จะได้รับเพื่อจำเลยหาหลักประกันมาให้จนพอใจศาล และขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อโจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยเพื่อบังคับคดีชำระหนี้ตามคำพิพากษาจึงอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์จะนำยึดทรัพย์สินเพื่อให้เพียงพอชำระหนี้ แต่ถ้าหากยึดเกินความจำเป็นจริงก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นเอง แต่ในชั้นนี้เมื่อยังไม่มีการชำระหนี้หรือขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึด จึงไม่อาจทราบได้ว่าทรัพย์สินที่ยึดนั้นเพียงพอต่อหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ ศาลจึงไม่อาจสั่งให้ถอนการยึดได้ เป็นเรื่องที่โจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีจะใช้ดุลพินิจเอง ส่วนที่จำเลยจะหาหลักประกันมาวางต่อศาลแล้วให้ศาลกำหนดจำนวนเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับนั้น ไม่อาจทำได้เพราะเป็นเรื่องในชั้นบังคับคดีระหว่างโจทก์ จำเลย และเจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการไปตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์แล้ว ศาลจึงไม่อาจถอนการยึดได้ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยเกินกว่าที่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในคดีและค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 วรรคหนึ่ง หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ 68,750 บาท นับแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยยังไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษา หนี้ค่าเสียหายย่อมเพิ่มพูนขึ้นทุกเดือน และยังไม่แน่นอนว่าหนี้ค่าเสียหายจะมีจำนวนเท่าใด การบังคับคดีจึงอาจต้องรวมค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย แม้โจทก์จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยและประเมินราคาที่ดินไว้เป็นเงิน 29,025,000 บาท ราคาดังกล่าวก็เป็นเพียงการประมาณการเบื้องต้นเท่านั้น ยังมิใช่เป็นราคาที่แน่นอนเพราะการขายทอดตลาดอาจขายได้ราคาสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาประเมินก็ได้ การที่มีบ้านของจำเลยทั้งสามหลังปลูกอยู่บนที่ดินที่ยึดไว้ด้วย อันเป็นส่วนควบของที่ดินที่ยึดไว้นั้น จึงมีข้อพิจารณาว่ามีเหตุผลสมควรที่จะยึดบ้านทั้งสามหลังนี้มาในคราวเดียวกันด้วยหรือไม่ เห็นว่า ไม่ว่าโจทก์จะนำยึดบ้านทั้งสามหลังดังกล่าวด้วยหรือไม่ ท้ายที่สุดเมื่อมีการขายทอดตลาดที่ดินและบุคคลภายนอกเป็นผู้ซื้อที่ดินได้ จำเลยก็จะต้องออกจากบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินที่ยึดไว้ ดังนี้ การที่โจทก์นำยึดบ้านทั้งสามหลังไว้ด้วย จึงมิใช่มีเจตนากลั่นแกล้งหรือกดดันจำเลยแต่อย่างใด อีกทั้งบ้านทั้งสามหลังมีราคาเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ดินที่ยึดไว้ การที่โจทก์ยึดบ้านทั้งสามหลังจึงมิใช่กระทำไปโดยมีเจตนามุ่งเพิ่มภาระค่าธรรมเนียมการยึดแก่จำเลยดังที่จำเลยกล่าวอ้างมาในคำร้อง นอกจากนี้หากโจทก์มิได้นำยึดบ้าน กรณีอาจเป็นปัญหาแก่ผู้ซื้อทอดตลาดที่จะต้องดำเนินการให้มีการรื้อถอนขนย้ายบ้านดังกล่าวออกไปในภายหลัง อันมีผลทำให้ไม่มีผู้สนใจซื้อทอดตลาดหรือขายได้ราคาต่ำไป อันจะเป็นผลร้ายแก่จำเลยยิ่งกว่าการขายทอดตลาดที่ดินและบ้านไปในคราวเดียวกันอันเป็นการสะดวกแก่การบังคับคดีขายทอดตลาด และน่าจะเป็นผลให้ขายทอดตลาดได้ในราคาที่ดีกว่า ดังนั้น การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและบ้านทั้งสามหลังที่ปลูกอยู่บนที่ดินมาในคราวเดียวกันโดยบ้านทั้งสามหลังมีราคาไม่สูงมาก จึงมีเหตุผลอันสมควร ไม่อาจถือว่าโจทก์ยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในคดีและค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ปฏิเสธการขอให้กำหนดยอดหนี้ที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์เพื่อที่จำเลยจะได้วางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งถอนการยึดทรัพย์หรืองดการบังคับคดีไว้ก่อนว่าเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะวางเงินหรือหาประกันมาให้ไว้ต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งถอนหรืองดการบังคับคดีนั้น ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องวางเงินหรือหาประกันมาให้เป็นจำนวนเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วย ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 (1) คดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายเดือน นับแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2527 จนกว่าจะส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ ในการคำนวณยอดหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว จำต้องรู้วันเวลาที่จำเลยส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ จึงจะคิดคำนวณจำนวนค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้ แต่เมื่อจำเลยยังมิได้ส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้แก่โจทก์ จำนวนค่าเสียหายย่อมจะต้องทวีเพิ่มขึ้นทุกเดือนจนกว่าจำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้ไม่สามารถคำนวณยอดหนี้ให้เป็นการแน่นอนได้ และเมื่อไม่รู้จำนวนหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามคำพิพากษาก็ย่อมไม่สามารถกำหนดจำนวนเงินที่จะให้จำเลยนำมาวางต่อศาลหรือพิจารณาประกันที่จำเลยจะหามาให้ไว้ต่อศาลว่าเป็นจำนวนเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีหรือไม่เพื่อที่จะมีคำสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์หรืองดการบังคับคดีต่อไปได้ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองปฏิเสธที่จะกำหนดจำนวนเงินที่จำเลยประสงค์จะขอวางต่อศาลเพื่อให้ถอนการยึดทรัพย์หรืองดการบังคับคดีและมีคำสั่งยกคำร้องในส่วนนี้ จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 1,500 บาท แทนโจทก์

Share