แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 บุกรุกที่ดินโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งานเศษและจำเลยที่ 2 บุกรุกที่ดินโจทก์เนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวานั้น เป็นแต่เพียงกะประมาณเนื้อที่เอาไว้เพื่อ เสียค่าขึ้นศาลเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 บุกรุกที่ดินของโจทก์รวมเนื้อที่จริง 3 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวาตามแผนที่กลางที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้น ทั้งโจทก์จำเลยก็ทราบดีถึงเขตที่ดินส่วนที่พิพาทกันแล้ว ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ในเนื้อที่บุกรุกจริง จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยรู้ถึงการละเมิดและ รู้ตัวผู้กระทำละเมิดอันพึงจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็น เวลานานแล้ว และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ดังนั้น ค่าเสียหายของโจทก์ในส่วนที่เกิน 1 ปี ก่อนวันฟ้องย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ แต่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ จำเลยที่ 4 ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ด้วยโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยที่ 4
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 บุกรุกเข้าไถที่ดินและปลูกอ้อยในที่ดินของโจทก์คิดเป็นเนื้อที่ 3 ไร่ 2 งานเศษ จำเลยที่ 2 ได้บุกรุกเข้าไถที่ดินและปลูกอ้อยในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 30ตารางวาทุกปีตลอดมา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนต้นอ้อยไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องและให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่ 3 ที่ 4 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยศาลหมายเรียกตามคำขอของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยที่ 1ที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ และเป็นฟ้องซ้ำ จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ แต่เช่าที่ดินจากจำเลยที่ 3 มา 10ปีเศษแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 3 ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 4 จึงเช่าจากจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ได้ขายที่ดินที่ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 เช่า แก่จำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 เช่าต่อ โจทก์ไม่ได้เสียหาย ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ออกไปจากที่ดินตามแนวในแผนที่ แต่เป็นจำนวนเนื้อที่ไม่เกินกว่าที่ระบุในฟ้อง ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ชำระค่าเสียหาย โจทก์และจำเลยที่ 3 ที่ 4อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ออกไปจากที่ดินตามแนวเขตและจำนวนเนื้อที่ซึ่งเจ้าพนักงานรังวัดได้ในแผนที่พิพาท และแก้ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 4 ต้องรับผิดต่อโจทก์ คดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง โจทก์และจำเลยที่ 4ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่10274 ตำบลทัพหลวง อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐมของโจทก์อยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 10273 ของจำเลยที่ 4 เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 10273 เป็นของจำเลยที่ 3 โดยซื้อมาจากผู้อื่น จำเลยที่ 3 ได้โอนขายให้แก่จำเลยที่ 4 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2523จำเลยที่ 3 ได้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 เช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 10273ปลูกต้นอ้อยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2515 ตลอดมาและเมื่อจำเลยที่ 3ได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 10273 ให้จำเลยที่ 4 ได้ให้จำเลยที่ 1ที่ 2 เช่าต่อมา จนกระทั่งปัจจุบัน จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ปลูกต้นอ้อยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 10274 ของโจทก์รวมเป็นเนื้อที่3 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา ปรากฏตามแผนที่กลางเอกสารหมายจ.3(1) ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาตามข้อฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 4มีว่า
1. ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 10274 ของโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน76 ตารางวา ตามแผนที่กลางเอกสารหมาย จ.3(1) ซึ่งเกินไปจากคำขอท้ายฟ้องของโจทก์นั้น ชอบหรือไม่
2. โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4ในส่วนที่เกิน 1 ปี ก่อนวันฟ้องหรือไม่
3. ค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใด
ปัญหาข้อแรก ศาลฎีกาเห็นว่าที่โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนนี้ว่า จำเลยที่ 1 บุกรุกที่ดินโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งานเศษ และจำเลยที่ 2 บุกรุกที่ดินโจทก์เนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวา ขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกไปจากที่ดินส่วนที่บุกรุกนั้น เป็นแต่เพียงกะประมาณเนื้อที่เอาไว้เพื่อเสียค่าขึ้นศาลเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 บุกรุกที่ดินของโจทก์รวมเนื้อที่จริง 3 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา ปรากฏตามแผนที่กลางเอกสารหมาย จ.3(1) ที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้น ทั้งโจทก์จำเลยก็ทราบดีถึงเขตที่ดินส่วนที่พิพาทกัน ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ในเนื้อที่ดินที่บุกรุกจริง จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ปัญหาข้อที่ 2 โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในส่วนที่เกิน 1 ปี ก่อนวันฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวจำเลยที่ 1 ที่ 2 ผู้กระทำละเมิดอันพึงจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์มาเป็นเวลานานแล้ว แต่โจทก์เพิ่งฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นคดีนี้ ทั้งจำเลยที่ 1ที่ 2 ก็ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ ดังนั้นค่าเสียหายของโจทก์ในส่วนที่เกิน 1 ปี ก่อนวันฟ้องย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 แม้ว่าจำเลยที่ 4 จะมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ แต่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ จำเลยที่ 4 ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลย”
และวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายของโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน