คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5135/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นสถาบันการเงิน ประกอบธุรกิจด้วยการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าซึ่งทำได้หลายวิธี จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญาขายลดเช็คสัญญาขายลดตั๋วเงินและกู้ยืมตามตั๋วสัญญาใช้เงินกับโจทก์ แม้จะเรียกชื่อวิธีการก่อให้เกิดหนี้ต่างกัน แต่ทุกวิธีล้วนเป็นการขอสินเชื่อจากโจทก์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เข้าค้ำประกันการชำระหนี้ทุกประเภทของจำเลยที่ 1 ที่ก่อหนี้ทั้งหมดโดยมิได้แบ่งแยกว่าประกันหนี้ประเภทใด มูลหนี้ทั้งหมดจึงเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมพิจารณาเข้าด้วยกันได้ โจทก์จึงนำสินเชื่อทุกชนิดมารวมกันเป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องฟ้องมาเป็นคดีเดียวกันได้ การที่โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องสูงสุดตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ (1) (ก) ชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญาขายลดเช็ค สัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินและกู้ยืมตามตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญาค้ำประกันจำนวน 41,390,075.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงิน 33,553,785.19 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงิน 33,553,785.19 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ในชั้นตรวจคำฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์เสียค่าขึ้นศาลไม่ถูกต้องให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามหนี้สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี หนี้ตามสัญญาขายลดเช็คและหนี้ตามสัญญากู้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละประเภท ๆ ละ 200,000 บาท ภายในวันที่ 18 สิงหาคม 2542
โจทก์วางเงินค่าขึ้นศาลเพิ่มอีก 400,000 บาท และทำคำร้องคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นบริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์อ้างว่าได้รับโอนสินทรัพย์รวมทั้งสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อจำเลยในคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 36,669,514.19 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมพิจารณาเข้าด้วยกันได้โจทก์จึงนำมารวมเป็นทุนทรัพย์ฟ้องจำเลยทั้งสี่และเสียค่าขึ้นศาลตามอัตราสูงสุดได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นสถาบันการเงิน ประกอบธุรกิจด้วยการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าซึ่งทำได้หลายวิธี จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญาขายลดเช็ค สัญญาขายลดตั๋วเงินและกู้ยืมตามตั๋วสัญญาใช้เงินกับโจทก์ แม้จะเรียกชื่อวิธีการก่อให้เกิดหนี้ต่างกันแต่ทุกวิธีล้วนเป็นการขอสินเชื่อจากโจทก์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เข้าค้ำประกันการชำระหนี้ทุกประเภทของจำเลยที่ 1 ที่ก่อขึ้นทั้งหมดโดยมิได้แบ่งแยกว่าประกันหนี้ประเภทใด มูลหนี้ทั้งหมดจึงเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมพิจารณาเข้าด้วยกันได้ โจทก์จึงนำสินเชื่อทุกชนิดมารวมกันเป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องฟ้องมาเป็นคดีเดียวกันได้ การที่โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องสูงสุดตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (1) (ก) ชอบแล้ว ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นเรียกให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมโดยแยกเป็นมูลหนี้แต่ละประเภทจึงเป็นการเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเกินกว่าที่จะต้องเสีย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกเก็บเกินจากสองแสนบาทแก่โจทก์

Share