แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์ตามใบสั่งของรวม 7 คราว แล้วจึงได้ผ่อนชำระหนี้ให้เป็นครั้งแรก ต่อมาเมื่อซื้อเชื่อครั้งที่ 8 อันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงผ่อนชำระให้อีก 2 ครั้ง เงินที่ชำระแต่ละครั้งมีจำนวนไม่เท่ากับราคาของสินค้าที่ปรากฏในใบสั่งของแม้แต่ฉบับเดียว และโจทก์ไม่เคยกำหนดจำนวนเงินที่ชำระมาแล้วให้พอประมาณกับราคาสินค้าในใบส่งของแล้วเลือกคืนใบส่งของแก่จำเลยไปด้วย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันให้รวมยอดหนี้สินตามใบสั่งของทั้งหมดเป็นหนี้ก่อนเดียวกันแล้วการที่จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์รวม 3 ครั้งนั้น เป็นการรับสภาพหนี้โดยใช้เงินให้บางส่วนในหนี้สินรายพิพาทที่ตกลงรวมกันเป็นหนี้ก้อนเดียวแล้ว มีผลให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 อันจะต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่นับแต่เวลานั้น (วันที่ชำระครั้งสุดท้าย) สืบไปตามมาตรา 181 คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความและกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 328 วรรค 2
ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งเป็นสารสำคัญในประเด็นที่จะชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายซึ่งคู่ความฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยไปเสียเลยทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 (3) ประกอบด้วยมาตรา 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้ออุปกรณ์เครื่องจักรแทรคเตอร์ไปจากโจทก์หลายครั้ง ต่อมาจำเลยชำระเงินให้โจทก์ ๓ ครั้ง ยังค้างชำระอยู่อีก ๓๙,๑๘๙ บาท ๖๐ สตางค์ ซึ่งจำเลยไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ไม่เคยสั่งซื้อสินค้าตามฟ้อง และไม่เคยชำระหนี้ค่าสินค้าให้โจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย และนายสมศักดิ์ กรรมการบริษัทโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี เห็นว่าฎีกาของจำเลยข้อนี้เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เพราะเป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลว่า ควรเชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่เพียงใด จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยข้อนี้มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้ไม่ได้
จำเลยฎีกาข้อที่ ๒ ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น ตามคำฟ้องของโจทก์ประกอบกับเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำฟ้อง เห็นได้ว่าโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งพอเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วว่า จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ชนิดใด เมื่อใด และจำนวนเงินเท่าใด จำเลยชำระค่าสินค้าแล้วเท่าใด ยังคงเป็นหนี้อยู่เท่าใด คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว หาเคลือบคลุมดังข้อฎีกาของจำเลยไม่
จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า หนี้สินที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้หลายคราวต่างกันถึง ๘ คราว จำเลยชำระหนี้ให้ ๓ ครั้ง รวมเป็นเงิน ๙,๐๖๑ บาท ๔๐ สตางค์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๘ วรรค ๒ ว่าหนี้สินรายใดถึงกำหนด ก็ให้รายนั้นเปลื้องไปก่อน เป็นอันว่าหนี้สินตามใบส่งของเลขที่ ๑๖๔๐, ๑๘๓๘ และ ๑๘๓๙ เป็นอันปลดเปลื้องไป ส่วนหนี้สินตามใบส่งของเลขที่ ๑๘๕๑ ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๑๕ จำนวนเงิน ๓,๑๐๐ บาท นั้น มิได้มีการชำระเงินเลยถึงวันฟ้องเกินสองปีแล้ว ย่อมขาดอายุความ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์แล้วรวม ๗ คราว จึงได้มีการผ่อนชำระหนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๑๖ เป็นเงิน ๒,๗๔๑ บาท ๔๐ สตางค์ ต่อมาเมื่อจำเลยซื้อเชื่อสินค้าจากโจทก์ครั้งที่ ๘ อันเป็นครั้งสุดท้ายจำนวนเงิน ๑,๑๐๐ บาท จำเลยจึงได้ผ่อนชำระค่าสินค้าแก่โจทก์อีก ๒ ครั้ง เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๖ และวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๑๗ เป็นเงิน ๑,๓๒๐ บาท และ ๕,๐๐๐ บาทตามลำดับ เห็นได้ว่าที่จำเลยผ่อนชำระค่าสินค้าแก่โจทก์รวม ๓ ครั้งนั้น เงินที่ชำระแต่ละครั้งมีจำนวนไม่เท่ากับราคาของสินค้าที่ปรากฏในใบส่งของแม้แต่ฉบับเดียว และโจทก์ไม่เคยกำหนดจำนวนเงินที่ชำระมาแล้วให้พอประมาณกับราคาสินค้าในใบส่งของแล้วเลือกคืนใบส่งของแก่จำเลยไปด้วย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันให้รวมยอดหนี้สินตามใบส่งของทั้งหมดเป็นหนี้ก้อนเดียวกันแล้ว ข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลอุทธณ์ยังมิได้วินิจฉัย แต่เป็นสารสำคัญในประเด็นที่จะชี้ขาดได้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลฎีกาจึงได้วินิจฉัยไปเสียเลยทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในข้อนี้อีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๐ (๓) ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๗ ศาลฎีกาจึงเห็นว่าการที่จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์ไปรวม ๓ คราว โดยครั้งสุดท้ายชำระให้เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๑๗ เป็นการรับสภาพหนี้โดยใช้เงินให้บางส่วนในหนี้สินรายพิพาทที่ตกลงรวมกันเป็นหนี้ก้อนเดียวแล้วมีผลให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ อันจะต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่นับแต่เวลานั้นสืบไปตามมาตรา ๑๘๑ ฉะนั้น เมื่อนับจนถึงวันฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๑๗ คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ และเห็นว่ากรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๘ วรรค ๒ ดังข้อฎีกาของจำเลย ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน