คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุริมสิทธิ์ในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์อันได้แก่ราคาอสังหาริมทรัพย์และดอกเบี้ยที่ค้างชำระนั้นจะมีผลเป็นบุริมสิทธิ์ก็ต่อเมื่อได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ถ้าไม่ได้จดทะเบียนก็ไม่มีบุริมสิทธิแต่อย่างใด

ย่อยาว

คดีนี้ สืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดที่ ๑๓๙ เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก้โจทก์ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย ทรัพย์ที่ยึดในคดีนี้เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อให้เกิดมูลหนี้ตามคำพิพากษาต่อผู้ร้อง ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิพิเศษเหนือทรัพย์ที่ยึด ผู้ร้องขอเฉลี่ยหนี้จากการจำหน่ายทรัพย์ที่ยึดโดยบุริมสิทธิพิเศษ
โจทก์แถลงไม่คัดค้านคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องโดยยอมรับว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยจริง แต่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในมูลหนี้ค่าซื้อที่ดินแปลงที่โจทก์นำยึดนี้ โจทก์จึงมีบุริมสิทธิพิเศษเหนือที่ดินแปลงนี้ ผู้ร้องแถลงว่า โจทก์ไม่มีบุริมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ยึด
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้บอกลงทะเบียนราคาหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๘๘ โจทก์จึงไม่มีบุริมสิทธิในทรัพย์ที่ยึด ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์รายนี้ได้ตามขอ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ ผู้ร้องที่ ๒ และนางเป้าซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๙ ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยในราคา ๔๐๘,๐๐๐ บาท ได้รับชำระเงินในวันนั้น ๑๑๘,๐๐๐ บาท ที่เหลือจำเลยสั่งจ่ายเป็นเช็ค ๓ ฉบับ ฉบับแรกสั่งจ่ายเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท ฉบับที่สอง ๑๐๐,๐๐๐ บาท ฉบับที่สาม ๑๖๕,๐๐๐ บาท เช็คฉบับแรกขึ้นเงินได้แล้วที่เหลืออีกสองฉบับ ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้นำเช็คฉบับที่สองไปฟ้องเรียกเงินจากจำเลย และผู้ร้องที่ ๒ นำเช็คฉบับที่สามไปฟ้องเรียกเงินจากจำเลย ศาลพิพากษาให้โจทก์และผู้ร้องที่ ๒ เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำยึดที่ดินแปลงที่ขายให้จำเลยขายทอดตลาด และขอรับชำระหนี้ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๗๓ และ ๒๗๖ โดยมิได้จดทะเบียนบอกราคาหรือดอกเบี้ยที่ค้างชำระไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๘๘ คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์จะมีบุริมสิทธิในราคาที่ดินและดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าโจทก์มีบุริมสิทธิพิเศษตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชบ์มาตรา ๒๗๓ และ ๒๗๖ แล้ว กรณีไม่จำต้องนำบทบัญญัติในมาตรา ๒๘๘ มาร่วมใช้บังคับอีก ศาลฎีกาเห็นว่าบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๘๘ มีความหมายว่า บุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์อันได้แก่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ค้างชำระและดอกเบี้ยในราคาที่ค้างชำระนั้น จะมีผลเป็นบุริมสิทธิก็ต่อเมื่อได้จดทะเบียนบอกไว้เมื่อมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ แต่โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนบอกราคาที่ค้างชำระและดอกเบี้ยไว้ โจทก์จึงไม่มีบุริมสิทธิแต่อย่างใด คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๓๕/๒๔๗๗ ที่โจทก์อ้างมา เป็นบุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ จะนำมาเป็นบรรทัดฐานในคดีนี้หาได้ไม่
พิพากษายืน

Share