คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5117/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามข่มขืนใจผู้เสียหายให้มอบเงิน 40,000 บาท ผู้เสียหายต่อรองเหลือ 35,000 บาท แต่ทางพิจารณาได้ความผู้เสียหายให้เงิน 50,000 บาท ถือเป็นข้อแตกต่างในรายละเอียดเพราะไม่ว่าเป็นเงินเท่าใดก็เป็นความผิด และไม่มีจำเลยคนใดหลงต่อสู้ ศาลฎีกาลงโทษจำเลยทั้งสามได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225
จำเลยทั้งสามร่วมกันล่อหลอกให้ผู้เสียหายไปหา แล้วใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้ผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ ระหว่างอยู่ในรถมีทั้งการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายขู่เข็ญให้ผู้เสียหายไปล่อซื้อยาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นวิธีการที่จะให้ผู้เสียหายยอมให้หรือยอมจะให้พวกตนได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน และเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไป พวกจำเลยยังนำบัตรเอทีเอ็มไปถอนเงินของผู้เสียหายออกมาและขู่เข็ญผู้เสียหายจนยอมที่จะให้เงินแก่พวกจำเลยเป็นการทดแทนที่จะให้ไปล่อซื้อยาเสพติดให้โทษ แสดงว่า จำเลยทั้งสามมีเจตนาที่จะให้ได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายมากที่สุดโดยไม่คำนึงถึงวิธีการและจะให้ได้มาอย่างไร การกระทำความผิดมีลักษณะต่อเนื่องไม่ขาดตอน และการกระทำที่เป็นองค์ประกอบแห่งความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์กับความผิดฐานร่วมกันกรรโชกเกิดขึ้นซ้อนกัน ทั้งความผิดฐานร่วมกันกรรโชกเป็นความผิดสำเร็จแล้วตั้งแต่ผู้เสียหายยอมให้ทรัพย์สินที่พวกจำเลยเอาไปและยอมจะให้เงินแก่พวกจำเลยอีกในภายหลัง การที่จำเลยทั้งสามจะได้เงินส่วนที่ผู้เสียหายตกลงจะให้ในภายหลังหรือไม่ หามีผลให้การกระทำความผิดฐานร่วมกันกรรโชกไม่เป็นความผิดสำเร็จไม่ การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันกรรโชกและร่วมกันปล้นทรัพย์จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 80, 83, 91, 295, 340, 340 ตรี, 337 วรรคสอง, 371 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนทรัพย์สิน 5 รายการ หรือชดใช้เงิน 12,200 บาท แก่ผู้เสียหาย นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อกับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3002/2548 ของศาลชั้นต้น และบวกโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 3 รับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษ (ที่ถูกเคยต้องโทษและรอการลงโทษไว้) ในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี มาตรา 83, 337 (2), 371 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ จำคุกคนละ 21 ปี ฐานร่วมกันกรรโชก จำคุกคนละ 6 ปี ฐาน ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง ปรับคนละ 100 บาท รวมจำคุกคนละ 27 ปี และปรับคนละ 100 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา และทางนำสืบของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง และจำเลยที่ 2 ที่ 3 คนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 13 ปี 6 เดือน และปรับ 50 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีกำหนดคนละ 20 ปี 3 เดือน และปรับคนละ 75 บาท บวกโทษจำเลยที่ 3 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 538/2546 ของศาลจังหวัดชลบุรี แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวเข้ากับคดีนี้เป็นจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 34 ปี 12 เดือน 15 วัน และปรับ 75 บาท ให้จำเลยทั้งสามคืนทรัพย์ตามบันชีทรัพย์ถูกประทุษร้าย ยกเว้นเฉพาะสมุดบัญชีธนาคารทรัพย์รายการที่ 4 หรือใช้ราคาเป็นเงิน 12,200 บาท แก่ผู้เสียหาย ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 18 ปี ฐานร่วมกันกรรโชก จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 20 ปี จำเลยที่ 1 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 10 ปี จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกคนละ 15 ปี บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ที่รอการลงโทษไว้เป็นจำคุก 29 ปี 9 เดือน 15 วัน เมื่อรวมกับความผิดฐานพาอาวุธแล้ว จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี และปรับ 50 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 15 ปี และปรับ 75 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 29 ปี 9 เดือน 15 วัน และปรับ 75 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ (จ) ว่า จำเลยทั้งสามข่มขืนใจผู้เสียหายให้ส่งมอบเงินสด 40,000 บาท แต่ผู้เสียหายต่อรองโดยตกลงจะส่งมอบเงินให้ 35,000 บาท แต่ตามทางนำสืบผู้เสียหายอ้างว่าเป็นเงิน 50,000 บาท แตกต่างกันก็ตาม แต่ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดต่างเป็นความผิดทั้งสิ้น ความแตกต่างกันดังกล่าวจึงเป็นเรื่องรายละเอียดและไม่มีจำเลยคนใดหลงต่อสู้ ศาลฎีกาจึงลงโทษจำเลยทั้งสามตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 และข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดโดยล่อหลอกให้ผู้เสียหายไปหาแล้วใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้ผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ ระหว่างอยู่ในรถมีทั้งการทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ขู่เข็ญให้ผู้เสียหายไปล่อซื้อยาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นวิธีการที่จะให้ผู้เสียหายยอมให้หรือยอมจะให้พวกตนได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน และเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเป็นกระเป๋าใส่เงินซึ่งภายในมีทรัพย์สิน ได้แก่ เงินสดจำนวนหนึ่ง บัตรเอทีเอ็ม บัตรประจำตัวประชาชนไป พวกจำเลยยังนำบัตรเอทีเอ็มไปถอนเงินของผู้เสียหายออกมาเป็นเงิน 9,500 บาท และขู่เข็ญผู้เสียหายจนยอมที่จะให้เงินแก่พวกจำเลยเป็นการทดแทนที่จะให้ไปล่อซื้อยาเสพติดให้โทษ อันเห็นได้ว่า จำเลยทั้งสามมีเจตนาร่วมกันกระทำความผิดเพื่อที่จะให้ได้ทรัพย์หรือประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้ายและขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และเสรีภาพของผู้เสียหายเพื่อให้ความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้นและยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ โดยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญและใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม จนผู้เสียหายยอมให้ทรัพย์สินข้างต้นและยอมที่จะให้เงินอีกจำนวนหนึ่งในภายหลัง เห็นได้ว่า จำเลยทั้งสามมีเจตนาที่จะให้ได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายมากที่สุดโดยไม่คำนึงถึงวิธีการและจะให้ได้มาอย่างไร การกระทำความผิดคดีนี้ก็มีลักษณะต่อเนื่องไม่ขาดตอน และการกระทำที่เป็นองค์ประกอบแห่งความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์กับความผิดฐานร่วมกันกรรโชกเกิดขึ้นซ้อนกัน ทั้งความผิดฐานร่วมกันกรรโชกเป็นความผิดสำเร็จแล้วตั้งแต่ผู้เสียหายยอมให้ทรัพย์สินที่พวกจำเลยเอาไปข้างต้นและยอมจะให้เงินแก่พวกจำเลยอีกในภายหลัง การที่จำเลยทั้งสามจะได้เงินส่วนที่ผู้เสียหายตกลงจะให้ในภายหลังนี้หรือไม่ หามีผลให้การกระทำความผิดฐานร่วมกันกรรโชกไม่เป็นความผิดสำเร็จไม่ การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันกรรโชกและร่วมกันปล้นทรัพย์จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท หาได้แยกกันเป็นความผิดคนละกรรมดังโจทก์ฟ้องและตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่ เมื่อรับฟังได้ว่า การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันกรรโชกและร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ดังนั้น แม้โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานร่วมกันกรรโชกว่า พวกจำเลยแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะขอหมายจับผู้เสียหายต่อศาลชั้นต้น เนื่องจากผู้เสียหายมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษนั้น ซึ่งในส่วนที่อ้างว่าจะขอหมายจับผู้เสียหายจะไม่ตรงกันกับการกระทำของพวกจำเลยในชั้นพิจารณา ที่จำเลยที่ 2 เพียงอ้างจะให้ผู้เสียหายไปช่วยล่อซื้อยาเสพติดให้โทษก็ตาม แต่เป็นความแตกต่างกันในรายละเอียด ประกอบกับเมื่อรวมการกระทำทั้งในส่วนที่โจทก์อ้างเป็นความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์และความผิดฐานอื่นที่รับฟังได้เป็นกรรมเดียวกันแล้ว ย่อมรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามมีการกระทำที่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายและขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและเสรีภาพของผู้เสียหาย จนผู้เสียหายยอมให้ทรัพย์สินและยอมจะให้เงินอีกจำนวนหนึ่งในภายหลังจริง และจำเลยทั้งสามไม่หลงต่อสู้ ศาลฎีกาจึงลงโทษจำเลยทั้งสามตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 ได้เช่นกัน ปัญหาข้างต้นเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ได้ และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่มิได้ฎีกาให้ได้ลดโทษดุจจำเลยที่ 3 ผู้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง และมาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี, 337 วรรคสอง (2), 371 ความผิดทั้งหมดประกอบมาตรา 83 สำหรับความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์และฐานร่วมกันกรรโชกเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 18 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 13 ปี 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันพาอาวุธและบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ที่รอการลงโทษไว้แล้ว จำเลยที่ 1 คงจำคุก 9 ปี และปรับ 50 บาท จำเลยที่ 2 คงจำคุก 13 ปี 6 เดือน และปรับ 75 บาท จำเลยที่ 3 คงจำคุก 27 ปี 15 เดือน 15 วัน และปรับ 75 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share