คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5115/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำร้องขอของผู้ร้องบรรยายว่า ผู้ร้องได้เข้าไปปลูกบ้านในที่ดินโฉนดตามฟ้อง คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 งาน โดยผู้ร้องครอบครองที่ดินส่วนดังกล่าวด้วยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อนานเกินกว่า 10 ปี แล้ว และผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว เฉพาะส่วนของผู้ร้องเนื้อที่ประมาณ 2 งาน 97 ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมายก่อนวันนัดสืบพยานผู้ร้อง ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำร้องขอเฉพาะข้อความเดิมที่ว่า “คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ2 งาน” เป็นเนื้อที่ประมาณ 2 งาน 97 ตารางวา ศาลชั้นต้นได้อนุญาตตามขอ ดังนั้น คำร้องขอของผู้ร้องในส่วนเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ดินที่ครอบครองได้สิทธินั้นจึงไม่เคลือบคลุมและชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว คดีนี้ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบก่อน แต่ผู้ร้องและผู้คัดค้านแถลงรับข้อเท็จจริงกันแล้วไม่ติดใจสืบพยานทั้งสองฝ่ายกรณีเช่นนี้ถือว่าผู้ร้องได้นำสืบข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของตนในคำร้องขอแล้ว ศาลย่อมพิจารณาพิพากษาไปตามเนื้อหาในสำนวนคดี และเมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทได้สิทธิการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 แล้ว ศาลชั้นต้นย่อมมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้สิทธิในที่ดินนั้นได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอว่า ผู้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2646 บางส่วนคิดเป็นเนื้อที่ 2 งาน 97 ตารางวาจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินในส่วนดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า คำร้องขอของผู้ร้องเคลือบคลุมเพราะตามคำร้องขออ้างว่าผู้ร้องเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินพิพาทคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 งาน แต่ตอนท้ายกลับระบุว่าขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องครอบครองปรปักษ์ เนื้อที่ประมาณ 2 งาน97 ตารางวา ทั้งในคำร้องขอของผู้ร้องไม่ปรากฏว่าได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินของผู้ใด ผู้คัดค้านทั้งสองได้ที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ผู้ร้องจะยกการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองดังกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ได้ ขอให้ยกคำร้องขอ
ระหว่างพิจารณา คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 2646โดยซื้อมาจากนายมีและนางหวอยและผู้คัดค้านทั้งสองครอบครองที่ดินโฉนดดังกล่าวร่วมกันมายังมิได้แบ่งแยกการครอบครองออกเป็นส่วนสัดของแต่ละคนแต่อย่างใด ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 2 งาน97 ตารางวา ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.ล.1 เป็นที่ดินส่วนเดียวกันกับที่ดินที่ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านที่ 1ซื้อที่ดินจากนายมีและนางหวอยโดยรู้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ ถือไม่ได้ว่าเป็นการซื้อขายโดยสุจริตผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่มีสิทธิดีกว่าผู้ร้องซึ่งได้ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ แต่คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าวมิได้ระบุไว้ว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่เท่าใด เพราะมิได้มีการทำแผนที่พิพาทไว้ อีกทั้งผู้ร้องอ้างไว้ในคำให้การแต่เพียงว่าที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์มีเนื้อที่ประมาณ 2 งาน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทตามเอกสารหมายจ.ล.1 อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 2646 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์ว่า คำร้องขอของผู้ร้องเคลือบคลุมและผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเพียง 2 งาน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองว่า คำร้องขอของผู้ร้องเคลือบคลุมหรือไม่ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกาว่า ตามคำร้องขอของผู้ร้องอ้างว่าเมื่อปี 2512 ผู้ร้องเข้าไปปลูกบ้าน 1 หลัง โรงนา 1 หลังในโฉนดที่ดินเลขที่ 2646 ตามฟ้อง คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 งานมีความยาวทางทิศเหนือและทิศใต้ด้านละประมาณ 20 วา ทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออกด้านละประมาณ 11 วา โดยได้ล้อมรั้วทุกด้าน ดังนั้นสิทธิที่ผู้ร้องจะพึงได้โดยการครอบครองตามกฎหมายมีเพียง 2 งานส่วนอีก 97 ตารางวา จึงยังไม่มีการครอบครองปรปักษ์ที่ผู้ร้องจะได้สิทธิการครอบครองนั้น เห็นว่า ตามคำร้องของของผู้ร้องบรรยายว่า ผู้ร้องได้เข้าปลูกบ้านในที่ดินโฉนดเลขที่ 2646 ตามฟ้องคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 งาน โดยผู้ร้องครอบครองที่ดินส่วนดังกล่าวด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อนานเกินกว่า10 ปี แล้วและผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2646ดังกล่าว เฉพาะส่วนของผู้ร้องเนื้อที่ประมาณ 2 งาน 97 ตารางวาโดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมายด้วยและได้ความว่าก่อนวันนัดสืบพยานผู้ร้อง ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 27ธันวาคม 2536 ขอแก้ไขคำร้องขอเฉพาะข้อความเดิมที่ว่า “คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 งาน” เป็นเนื้อที่ประมาณ 2 งาน 97 ตารางวาซึ่งศาลชั้นต้นได้อนุญาตตามขอ ดังนั้น คำร้องของผู้ร้องเกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่ดินที่ครอบครองได้สิทธินั้น จึงไม่เคลือบคลุมชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
และที่ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกาว่า คดีนี้ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบก่อน แต่ผู้ร้องไม่สามารถพิสูจน์ว่า ได้ครอบครองที่ดินพิพาทที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมอีก 97 ตารางวา อย่างไร ผู้ร้องไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะได้สิทธิที่ดินในส่วนดังกล่าวนั้น เห็นว่าคดีนี้คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับข้อเท็จจริงกับแถลงไม่ติดใจสืบพยานทั้งสองฝ่ายตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 15 มิถุนายน 2537 และวันที่ 18 ตุลาคม 2537 กรณีเช่นนี้ถือว่า ผู้ร้องได้นำสืบข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของตนในคำร้องขอแล้วศาลย่อมพิจารณาพิพากษาไปตามเนื้อหาในสำนวนคดีได้ และเมื่อฟังได้ความว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทได้สิทธิการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว ศาลชั้นต้นย่อมมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้สิทธิในที่ดินนั้นได้ไม่ขัดต่อกฎหมาย
พิพากษายืน

Share