แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 มีหน้าที่จัดเตรียมเช็คให้โจทก์เพื่อสั่งจ่ายเงินให้แก่คู่ค้าและลูกค้าของโจทก์ โดยเป็นผู้พิมพ์ข้อความในเช็ค เป็นผู้เก็บเช็คนำเช็คเข้าบัญชี และนำเช็คมามอบให้แก่คู่ค้าหรือลูกค้าของโจทก์ แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความไว้วางใจและเชื่อใจจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ให้กระทำการดังกล่าวโดยมิได้มีระบบการตรวจสอบที่ดี เมื่อจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ปลอมแปลงเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายให้แก่คู่ค้าและลูกค้า โดยวิธีลบชื่อผู้รับเงินเดิมในช่องจ่าย แล้วพิมพ์ชื่อของตนเองทั้งสองและจำเลยร่วมที่ 3 กับนำเช็คที่ปลอมดังกล่าวทั้ง 48 ฉบับ ไปเรียกเก็บเงินเสียเอง จึงเป็นกรณีที่โจทก์จงใจหรือประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้สมุดคู่ฝากหรือเช็คไปและนำใบถอนเงินหรือเช็คมาขึ้นเงินกับธนาคารและธนาคารได้จ่ายเงินไปตามใบถอนเงินหรือเช็คนั้น ธนาคารไม่จำต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว ตามข้อ 3 ของคำขอเปิดบัญชีเงินฝาก ทั้งได้ความว่า ตัวอักษรที่พิมพ์เช็คพิพาทนั้นพิมพ์จากเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเครื่องเดียวกัน ซึ่งเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าจะมีส่วนที่สามารถลบคำผิดได้อยู่ในตัว จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ย่อมมีโอกาสลบข้อความเดิมในเช็คและพิมพ์ข้อความได้อย่างแนบเนียนโดยใช้เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเดิม จึงเป็นการยากที่จะสามารถเห็นความแตกต่างของตัวอักษรที่ปรากฏใหม่กับตัวอักษรของข้อความอื่นที่มีอยู่เดิมได้ เมื่อพิเคราะห์ในช่องผู้รับเงินด้วยตาเปล่าจะเห็นได้ว่า ตัวอักษรพิมพ์ชื่อผู้รับเงินกับตัวอักษรจำนวนเงินเหมือนกันและไม่ปรากฏร่องรอยพิรุธที่ทำให้เห็นว่ามีการลบชื่อผู้รับเงินเดิมออกและพิมพ์ทับชื่อผู้รับเงินใหม่ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับเงินดังกล่าวจึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า อันเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่ประจักษ์ในข้อสำคัญ การที่พนักงานของจำเลยที่ 2 จ่ายเงินตามเช็คทั้ง 48 ฉบับให้แก่ผู้นำเช็คมาเรียกเก็บเงิน จึงไม่เป็นการขาดความระมัดระวังของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ จึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คคืนแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,172,811.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,097,367.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางสาวพิริยาภรณ์หรือนางสาวณปภัช นางสาวสุดารัตน์ และนายปิยะภัทร์ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม เนื่องจากจำเลยที่ 2 อาจฟ้องเพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ย ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยให้เรียกบุคคลภายนอกดังกล่าวเป็นจำเลยร่วมที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ ต่อมาโจทก์แถลงว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยร่วมที่ 3 เนื่องจากได้รับชำระหนี้แล้ว จำเลยทั้งสองไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยร่วมที่ 3 ออกจากสารบบความ
จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 1,172,811.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,097,367.50 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 สิงหาคม 2555) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลยที่ 2 สาขาแฉล้มนิมิตร ประเภทบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน โจทก์จ่ายเงินจากบัญชีดังกล่าวโดยใช้เช็คที่โจทก์ออกให้แก่ผู้อื่นแล้วผู้นั้นไปเรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ 2 เมื่อประมาณวันที่ 12 มกราคม 2554 ถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2554 โจทก์ออกเช็คสั่งจ่ายให้แก่คู่ค้าและลูกค้าของโจทก์รวม 55 ฉบับ โดยระบุชื่อคู่ค้าและลูกค้าเป็นผู้รับเงินและขีดคร่อมด้านหน้าเช็ค ระบุว่า “A/C PAYEE ONLY” ซึ่งมีความหมายว่า ห้ามเปลี่ยนมือ จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 เป็นพนักงานฝ่ายจดทะเบียนรถยนต์ของโจทก์ มีหน้าที่จัดเตรียมเช็คให้โจทก์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายให้แก่ลูกค้าของโจทก์ แก้ไขชื่อผู้รับเงินในเช็ค โดยการลบและพิมพ์ชื่อของจำเลยร่วมทั้งสามลงในเช็คพิพาท แล้วนำไปเรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ 2 โจทก์แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกร พนักงานสอบสวนส่งเช็คพิพาทตรวจพิสูจน์แล้ว ปรากฏร่องรอยขูดลบข้อความเดิมในช่องผู้รับเงิน แล้วพิมพ์ข้อความใหม่ทับแทน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทคืนแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เช็คพิพาททั้ง 48 ฉบับ จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายทะเบียนรถยนต์และมีหน้าที่จัดเตรียมเช็คให้แก่โจทก์เพื่อสั่งจ่ายเงินให้แก่คู่ค้าและลูกค้าของโจทก์ โดยปรากฏจากคำเบิกความของนายชนกาญจน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้พิมพ์ข้อความในเช็คไม่มีการเขียนเป็นลายมือ และเป็นผู้เก็บเช็คนำเช็คเข้าบัญชีและนำเช็คมอบให้แก่คู่ค้าหรือลูกค้าของโจทก์ การที่โจทก์ให้จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้พิมพ์ข้อความในเช็คและเป็นผู้เก็บเช็ค นำเช็คเข้าบัญชี และนำเช็คมอบให้แก่คู่ค้าหรือลูกค้าของโจทก์ แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความไว้วางใจและเชื่อใจจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ให้กระทำการดังกล่าวโดยมิได้มีระบบตรวจสอบที่ดี เมื่อต่อมาข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยร่วมที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 2 กระทำการปลอมแปลงเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายให้แก่คู่ค้าและลูกค้า โดยวิธีลบชื่อผู้รับเงินเดิมในช่องจ่าย แล้วพิมพ์ชื่อของตนเองทั้งสองและจำเลยร่วมที่ 3 กับนำเช็คที่ปลอมดังกล่าวทั้ง 48 ฉบับ ไปเข้าบัญชีของตนเองกับพวก เพื่อเรียกเก็บเงินจากบัญชีกระแสรายวันของโจทก์เสียเอง จึงเป็นกรณีที่โจทก์จงใจหรือประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้สมุดคู่ฝากหรือเช็คไปและนำใบถอนเงินหรือเช็คมาขึ้นเงินกับธนาคารและธนาคารได้จ่ายเงินไปตามใบถอนเงินหรือเช็คนั้น ธนาคารไม่จำต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว ปรากฏตามข้อ 3 ของคำขอเปิดบัญชีเงินฝาก อีกทั้งได้ความจากนางสาวสุพรรณิกา ผู้จัดการแผนกการเงินของโจทก์ เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 1 ว่า เช็คตามเอกสาร ตัวอักษรที่พิมพ์นั้นพิมพ์จากเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเครื่องเดียวกัน ซึ่งเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าจะมีส่วนที่สามารถลบคำผิดได้อยู่ในตัว เห็นได้ว่าจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ย่อมมีโอกาสลบข้อความเดิมในเช็คและพิมพ์ข้อความได้อย่างแนบเนียนโดยใช้เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเดิม จึงเป็นการยากที่จะสามารถเห็นความแตกต่างของตัวอักษรที่ปรากฏใหม่กับตัวอักษรของข้อความอื่นที่มีอยู่เดิมได้ ซึ่งในข้อนี้จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 รับว่า เมื่อผู้บริหารโจทก์ลงลายมือชื่อแล้วก็จะเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับเงินโดยการใช้เทปใสลบชื่อออก และพิมพ์ซ้ำใส่ลงไปเป็นชื่อของตนเองตามคำรับสารภาพ เมื่อพิเคราะห์เช็คพิพาทในช่องผู้รับเงินด้วยตาเปล่า จะเห็นได้ว่า ชื่อตัวอักษรพิมพ์ผู้รับเงินกับตัวอักษรจำนวนเงินเหมือนกันและไม่ปรากฏร่องรอยพิรุธที่ทำให้เห็นว่ามีการลบชื่อผู้รับเงินเดิมออกและพิมพ์ทับชื่อผู้รับเงินใหม่ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับเงินดังกล่าวจึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า อันเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่ประจักษ์ในข้อสำคัญ การที่พนักงานของจำเลยที่ 2 จ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้ง 48 ฉบับ ให้แก่ผู้นำเช็คมาเรียกเก็บเงินจึงไม่เป็นการขาดความระมัดระวังของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทคืนแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ของโจทก์ ไม่เป็นสาระแห่งคดี ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ