คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 511/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยปลูกสร้างเรือนลงในที่พิพาทโดยรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เป็นที่ดินของผู้อื่นและเจ้าของที่ดินผู้นั้นได้อนุญาตให้จำเลยอาศัย เช่นนี้กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 ต่อมาเมื่อเจ้าของที่ดินเดิมโอนขายที่ดินให้โจทก์ โจทก์เป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่อาศัยต่อไป จำเลย ย่อมไม่มีสิทธิจะอยู่ในที่พิพาท โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ (อ้างฎีกาที่ 921/2496)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและรื้อเรือนออกไปจากที่ดินซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า จำเลยได้ปลูกเรือนในที่พิพาทโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินเดิม ต่อมาที่ดินตกเป็นของโจทก์ การที่เจ้าของยินยอมให้จำเลยปลูกเรือนในที่ดินแล้ว ย่อมไม่เป็นการปลูกโดยละเมิดต่อโจทก์ และเรือนพิพาทตกเป็นของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน แต่โจทก์ต้องใช้ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นให้แก่จำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์รับโอนที่ดินมาจากเจ้าของที่ดินเดิม ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์แล้วจำเลยไม่ออก การอยู่ต่อไปจึงเป็นการละเมิด โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยรื้อเรือนของจำเลยออกไปจากที่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะจำเลยปลูกสร้างเรือนลงในที่ดินโดยเจ้าของที่ดินเดิมอนุญาตและสุจริต ต่อมาเจ้าของที่ดินโอนขายที่ดินให้โจทก์เช่นนี้ โจทก์เป็นเจ้าของโรงเรือนโดยใช้ค่าแห่งที่ดินเพิ่มขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยปลูกสร้างเรือนลงในที่พิพาทโดยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเป็นที่ดินของผู้อื่น และเจ้าของที่ดินผู้นั้นได้อนุญาตให้จำเลยอาศัย เช่นนี้กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 921/2496 ต่อมาเมื่อเจ้าของที่ดินเดิมโอนขายที่ดินให้โจทก์โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่อาศัยต่อไป จำเลยย่อมไม่มีสิทธิจะอยู่ในที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้

พิพากษายืน

Share