แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์แต่งตั้งให้จำเลยเป็นตัวแทนจำหน่ายปูนซีเมนต์ โดยจำเลยต้องซื้อปูนซีเมนต์จากโจทก์ตามราคาที่กำหนดไว้ และชำระเงินตามราคาให้ภายในกำหนด 60 วัน นับจากวันรับสินค้าไปจำเลยจะนำสินค้าไปขายได้หรือไม่ กำไรหรือขาดทุนเป็นเรื่องของจำเลยโจทก์ไม่เกี่ยวข้อง ดังนี้ มีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด จำเลยจึงหาใช่ตัวแทนค้าต่างของโจทก์ไม่
คำว่า “อุตสาหกรรม” หมายถึงกิจการในทางผลิตสิ่งของเพื่อให้เป็นสินค้าขึ้น การที่จำเลยรับปูนซีเมนต์จากโจทก์ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมไปจำหน่ายหาผลกำไรเป็นปกติธุระ มิได้นำไปผลิตสิ่งของเพื่อให้เป็นสินค้าอันเป็นการที่ได้ทำเพื่ออุตสาหกรรม กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นให้ใช้อายุความห้าปีตามความในมาตรา 165 วรรคสุดท้ายสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการอุตสาหกรรม ผลิตปูนซีเมนต์ อุปกรณ์การก่อสร้าง จำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ดำเนินกิจการธนาคารพาณิชย์ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น กระเบื้องเคลือบ ฯลฯ ของโจทก์ในเขตจังหวัดราชบุรี มีเงื่อนไขว่าจำเลยจะต้องส่งเงินค่าสินค้าให้โจทก์เมื่อครบ ๖๐ วัน นับจากวันที่รับสินค้าไปจำหน่ายโดยมีธนาคารจำเลยที่ ๒ ทำหนังสือค้ำประกันการชำระเงินค่าสินค้าของโจทก์ จำเลยที่ ๑ สั่งปูนซีเมนต์และกระเบื้องชนิดต่าง ๆ เอาไปจำหน่ายแก่ลูกค้าหลายคราว โจทก์จ่ายสินค้าให้ตามสั่งและแจ้งรายการและราคาสินค้าให้จำเลยที่ ๑ ทราบในใบส่งสินค้าและใบแจ้งหนี้ทุกครั้งจำเลยที่ ๑ จะต้องส่งเงินค่าสินค้าให้โจทก์ตามหลักฐานการส่งของเมื่อครบกำหนด ๖๐ วัน ตามข้อตกลง ส่วนจำเลยที่ ๑ จำหน่ายได้เกินราคาที่โจทก์กำหนดไว้ก็ตกได้แก่จำเลย บางครั้งโจทก์ก็ได้คิดเปอรเซ็นต์เป็นรางวัลให้แก่จำเลยอีกส่วนหนึ่งด้วย ตั้งแต่ทำสัญญาตัวแทนจำหน่ายจำเลยสั่งสินค้าไปจำหน่ายตลอดมา และส่งเงินค่าสินค้าให้โจทก์ครบถ้วนเสมอมากระทั่งเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๑๔ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ สั่งสินค้าจากโจทก์ไปจำหน่ายหลายครั้ง คิดเป็นเงิน ๙๗,๐๖๐ บาท เมื่อครบกำหนดที่จำเลยที่ ๑ จะต้องชำระเงินให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันภายในวงเงินไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาค้ำประกัน โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองเพิกเฉย จึงขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าสินค้าที่ค้างพร้อมด้วยดอกเบี้ยและจำเลยที่ ๒ ชำระเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทแทนจำเลยที่ ๑ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จนกว่าจำเลยที่ ๒ จะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การต่อสู้หลายประการ และว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การจำหน่ายสินค้าที่จำเลยที่ ๑ รับจากโจทก์นั้นจำเลยที่ ๑ กระทำในนามตนเอง มิได้กระทำแทนโจทก์เป็นกรณีที่พ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของมิใช่เป็นการที่ได้ทำเพื่ออุตสาหกรรมของฝ่ายลูกหนี้มี อายุความ ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ (๑) จำเลยที่ ๑ สั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์คือ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๑๕ ถึงวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๑๘ วันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นเวลาเกินกว่าสองปีแล้ว หากจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริงคดีโจทก์ก็ขาดอายุความแล้วไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นอีก พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณีเป็นเรื่องซื้อขายสินค้ากันโดยโจทก์ตกลงให้จำเลยที่ ๑ ขายสินค้าของโจทก์ได้เพียงรายเดียวในเขตอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรีเท่านั้น สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนดอายุความเพียง ๒ ปี คดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว และจำเลยที่ ๑ มิใช่ตัวแทนค้าต่างของโจทก์
พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์แต่งตั้งให้จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนจำหน่ายปูนซีเมนต์ในเขตท้องที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี โดยจำเลยจะต้องซื้อปูนซีเมนต์จากโจทก์ตามราคาที่กำหนดไว้ และชำระราคาให้ภายใน ๖๐ วัน จำเลยที่ ๑ จะนำสินค้าไปขายได้หรือไม่ กำไรหรือขาดทุนเป็นเรื่องของจำเลยที่ ๑ โจทก์ไม่เกี่ยวข้อง ดังนี้ จำเลยหาใช่ตัวแทนค้าต่างของโจทก์ดังฎีกาโจทก์ไม่
ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่าโจทก์เป็นบุคคลผู้ประกอบอุตสาหกรรมได้รับประโยชน์แห่งข้อยกเว้นแห่งบทบัญญัติมาตรา ๑๖๕ อนุมาตรา ๑ ตอนท้ายที่ว่า “เว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่ออุตสาหกรรมของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง” แสดงว่ากฎหมายมีเจตนาให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมมีสิทธิเรียกร้องลูกหนี้ได้เกิน ๒ ปีนั้น
คำว่า “อุตสาหกรรม” หมายถึงกิจการในทางผลิตสิ่งของเพื่อให้เป็นสินค้าขึ้น หาได้หมายถึงการค้าโดยเฉพาะดังเช่นที่จำเลยฝ่ายลูกหนี้ในคดีนี้ประกอบการเป็นปกติธุระอยู่ไม่ กล่าวคือ จำเลยฝ่ายลูกหนี้รับปูนซีเมนต์จากโจทก์ไปจำหน่ายเป็นสินค้าหาผลกำไรเป็นปกติธุระ มิได้นำไปผลิตสิ่งของเพื่อให้เป็นสินค้าอันเป็นการที่ได้ทำเพื่ออุตสาหกรรมแต่อย่างใด กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นให้ใช้อายุความห้าปีตามความในมาตรา ๑๖๕ วรรคสุดท้ายดังฎีกาของโจทก์ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความสองปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน