แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคหนึ่ง,83 และพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 82 เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 82 อันเป็นบทหนัก จำคุก 4 ปีศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง,83 จำคุก 2 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่นนี้ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่งมีการแก้ไขเฉพาะโทษ และเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จำเลยที่ 1 จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดฐานนี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคหนึ่ง,86 จำคุก 2 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวต่อสู้คดีเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงาน มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าศาลชั้นต้นกำหนดโทษหนักเกินไป ควรกำหนดให้ใหม่ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มี กำหนด 1 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 มอบตัวสู้คดีเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ดังนี้ในข้อหาว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้อง จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ส่วนข้อหาว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง,86 นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ไขเฉพาะโทษ ให้จำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี เป็นเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 เป็นบิดาจำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมหลอกลวงโจทก์ร่วมหรือพวกผู้เสียหายมาตั้งแต่ต้น นอกจากช่วยพูดจารับรองกับโจทก์ร่วมและพวกผู้เสียหายในวันสมัครงานว่าจำเลยที่ 1 สามารถส่งคนไปทำงานต่างประเทศได้จริงและพูดจารับรองว่าจะคืนเงินให้หากไม่ได้ไปหรือไปแล้วไม่ได้ทำงานเท่านั้น พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แล้ว ในสำนวนแรกและสำนวนที่สามโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่าร่วมกันฉ้อโกงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าสามารถจัดส่งคนงานไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน และฟ้องสำนวนที่สองว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ข้อเท็จจริงปรากฏว่าพวกของจำเลยที่ 1 ได้จัดส่งโจทก์ร่วมและผู้เสียหายบางส่วนในสำนวนที่สองซึ่งเป็นชุดเดียวกับสำนวนแรกและสำนวนที่สามไปทำงานในประเทศสิงคโปร์ และบางส่วนให้ไปรอเข้าประเทศสิงคโปร์อยู่ที่ประเทศมาเลเซียก่อน แต่ในที่สุดคนสมัครงานทุกคนก็ถูกส่งกลับประเทศไทยโดยไม่ได้เข้าทำงานที่ประเทศไต้หวันตามที่จำเลยที่ 1 กับพวกหลอกลวงไว้แม้แต่คนเดียว การส่งโจทก์ร่วมและผู้เสียหายไปประเทศสิงคโปร์หรือประเทศมาเลเซียนั้นจึงเป็นเพียงวิธีการหรืออุบายอย่างหนึ่งในการกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นชุดเดียวกันนั่นเอง โดยจำเลยที่ 1 กับพวกไม่ได้มีเจตนาที่จะจัดหางานหรือส่งคนสมัครงานไปทำงานในประเทศที่หลอกลวงไว้แต่อย่างใด และจากพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมก็รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1กับพวกเคยส่งคนสมัครงานไปทำงานที่ประเทศไต้หวันจริงการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 อีกบทหนึ่ง
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยเรียกจำเลยสำนวนแรกและสำนวนที่สองเป็นจำเลยที่ 1 เรียกจำเลยสำนวนที่สามเป็นจำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องสำนวนแรกกับโจทก์สำนวนที่สามว่า จำเลยทั้งสองกับพวกโดยทุจริตได้ร่วมกันหลอกลวงประชาชนทั่วไปโดยการโฆษณาว่าจำเลยทั้งสองกับพวกสามารถจะจัดส่งคนไปทำงานที่ประเทศไต้หวันเป็นจำนวนมาก มีรายได้ดีแต่ประชาชนที่มาสมัครงานกับจำเลยทั้งสองกับพวกจะต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวกคนละ40,000-45,500 บาท ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยทั้งสองกับพวกมีเจตนาไม่จัดส่งคนงานไปประเทศไต้หวันมาตั้งแต่เริ่มแรกและไม่สามารถจัดส่งคนงานไปยังประเทศไต้หวันได้ จำเลยทั้งสองกับพวกมีเจตนาเพียงเพื่อให้ได้เงินจากผู้ที่มาสมัครงานกับจำเลยเท่านั้น โดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้ประชาชนทั่วไปและนายวิกิจแม่นมั่น ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกรวม 12 คน หลงเชื่อว่าเป็นความจริงและได้ไปสมัครงานดังกล่าวจำเลยทั้งสองกับพวกได้ค่าสมัครไปจากผู้เสียหายรวมเป็นเงิน 489,200 บาท แล้วจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันนำเอาเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริตขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343, 83 นับโทษจำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกและสำนวนที่ 2 ต่อกัน กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 489,200 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
โจทก์ฟ้องสำนวนที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 กับพวกได้ร่วมกันจัดหางานให้นายวิกิจ แม่นมั่น ผู้เสียหายที่ 1 กับพวก 12 คน ซึ่งเป็นคนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศคือประเทศสิงคโปร์ โดยเรียกค่าบริการตอบแทนจากคนหางาน โดยจำเลยที่ 1 กับพวกมิได้รับอนุญาตให้เป็นผู้จัดหางานจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30วรรคแรก, 82 และนับโทษจำเลยที่ 1 ในสำนวนนี้กับสำนวนแรกติดต่อกัน
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 11 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในสำนวนแรก ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยเรียกเป็นโจทก์ร่วมที่ 1 ถึงที่ 11 ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง, 83 และพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 82 อันเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 82 อันเป็นบทหนักจำคุก 4 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343วรรคหนึ่ง, 86 จำคุก 2 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวต่อสู้คดีเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 489,200 บาท แก่ผู้เสียหาย
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง, 83 จำคุก 2 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 มอบตัวสู้คดีเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง, 83 และพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 82เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528มาตรา 82 อันเป็นบทหนัก จำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง,83 จำคุก 2 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่นนี้ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคหนึ่ง มีการแก้ไขเฉพาะโทษและเป็นการแก้ไขเล็กน้อยจำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดฐานนี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง, 86 จำคุก 2 ปี 8 เดือนจำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวสู้คดีเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงาน มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ ให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า ศาลชั้นต้นกำหนดโทษหนักเกินไปควรกำหนดเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่รูปคดี ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด1 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 มอบตัวสู้คดีเป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ดังนี้ในข้อหาว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้อง จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ส่วนข้อหาว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง,86 นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ไขเฉพาะโทษ ให้จำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี เป็นเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งดังนี้ คดีจึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยทั้งสองดังนี้
ข้อ 1. จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดในข้อหาฉ้อโกงประชาชนฎีกาในข้อนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า จากพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันหลอกลวงโจทก์ร่วมหรือพวกผู้เสียหายมาตั้งแต่ต้น นอกจากช่วยพูดจารับรองกับโจทก์ร่วมและพวกผู้เสียหายในวันสมัครงานว่า จำเลยที่ 1สามารถส่งคนไปทำงานต่างประเทศได้จริงและพูดจารับรองว่าจะคืนเงินให้หากไม่ได้ไปหรือไปแล้วไม่ได้ทำงานเท่านั้น พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แล้วส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานเพื่อต่อสู้คดี เป็นการเข้ามอบตัวหลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 แล้วไม่เป็นการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะเป็นการเข้ามอบตัวหลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 แล้วก็ตาม ก็เป็นประโยชน์แก่การดำเนินคดีของเจ้าพนักงาน ถือว่ามีเหตุอื่นที่ศาลเห็นว่ามีลักษณะทำนองเดียวกับการลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงาน เป็นเหตุบรรเทาโทษตามกฎหมาย ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้กำหนดโทษและลดโทษให้จำเลยที่ 2ถูกต้องและเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว
ข้อ 2. โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 อีกบทหนึ่ง และเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งด้วย ฎีกาข้อนี้โจทก์บรรยายฟ้องในสำนวนคดีเรื่องแรกและเรื่องที่สามไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันหลอกลวงประชาชนทั่วไป ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจำเลยทั้งสองกับพวกสามารถจัดส่งคนงานไปทำงานประเทศไต้หวันได้ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยทั้งสองกับพวกไม่สามารถจัดส่งคนงานไปทำงานที่ประเทศไต้หวันได้ และไม่มีเจตนาที่จะจัดส่งคนงานไปยังประเทศไต้หวันมาตั้งแต่เริ่มแรก จำเลยทั้งสองมีเจตนาเพื่อให้ได้เงินจากผู้ที่มาสมัครงานกับจำเลยเท่านั้น แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 ในสำนวนที่สองว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหากย่อมเป็นการขัดกับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องไว้ในสำนวนคดีแรกและสำนวนคดีที่สาม และแม้ทางพิจารณาของคดีทั้งสามสำนวนที่รวมพิจารณาเข้าด้วยกันจะได้ความว่า พวกของจำเลยที่ 1 ได้จัดส่งโจทก์ร่วมและพวกผู้เสียหายบางส่วนซึ่งเป็นชุดเดียวกับคดีแรกและคดีที่สามไปทำงานในประเทศสิงคโปร์และบางส่วนให้ไปรอเข้าประเทศสิงคโปร์อยู่ที่ประเทศมาเลเซียก่อนก็ตาม แต่ในที่สุดคนสมัครงานทุกคนก็ถูกส่งกลับประเทศไทยโดยไม่ได้เข้าทำงานที่ประเทศไต้หวันตามที่จำเลยที่ 1 กับพวกหลอกลวงไว้แม้แต่คนเดียว จึงเป็นที่เห็นได้ว่าการส่งโจทก์ร่วมและพวกผู้เสียหายไปประเทศสิงคโปร์หรือประเทศมาเลเซียนั้น เป็นเพียงวิธีการหรืออุบายอย่างหนึ่งในการกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นชุดเดียวกันนั่นเอง โดยจำเลยที่ 1 กับพวกไม่ได้มีเจตนาที่จะจัดหางานหรือส่งคนสมัครงานไปทำงานในประเทศที่ได้หลอกลวงไว้แต่อย่างใด และจากคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ 1 ที่ 3ที่ 4 ที่ 7 และพยานปากอื่นที่เป็นญาติว่า จำเลยที่ 1 กับพวกเคยส่งคนสมัครงานไปทำงานที่ประเทศไต้หวันนั้น ก็เป็นการได้รับการบอกจากจำเลยที่ 1 เอง หรือเป็นเพียงการได้ยินข่าวมาเท่านั้น โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนให้รับฟังได้โดยแจ้งชัดเช่นนั้นการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 อีกบทหนึ่ง และเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งตามที่โจทก์ฎีกา ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน