คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้นเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219 การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา42และ46มุ่งหมายที่จะให้ศาลมีพิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคดีส่วนอาญาฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ไม่ปรากฎว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค2ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362, 365
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางดลฤดี พงษ์จิระศักดิ์ และนางวิกานดาวงศ์ช้ยประเสริฐ ผู้เสียหายทั้งสอง ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 ประกอบด้วยมาตรา 365(3) ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 4,000 บาทพิเคราะห์ถึงความร้ายแรงแห่งการกระทำความผิดแล้วโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ให้คุมประพฤติจำเลยมีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน เพื่อพนักงานคุมประพฤติจะได้0สอบถามแนะนำ ช่วยเหลือหรือตักเตือนตามที่เห็นสมควรในเรื่องความประพฤติและประกอบอาชีพ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษหนักขึ้น และไม่รอการลงโทษจำเลยอุทธรณ์ของให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยไม่ปรับและไม่คุมประพฤติจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้น เป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความนั้นเห็นว่า การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญานี้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้ แต่ในทางตรงกันข้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 42บัญญัติว่า “ในการพิจารณาคดีแพ่ง ถ้าพยานหลักฐานที่นำสืบมาแล้วในคดีอาญายังไม่เพียงพอ ศาลจะเรียกพยานหลักฐานมาสืบเพิ่มเติมอีกก็ได้ในกรณีเช่นนั้นศาลจะพิพากษาคดีอาญาไปทีเดียว ส่วนคดีแพ่งจะพิพากษาในภายหลังก็ได้” และมาตรา 46 บัญญัติว่า “ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา” จากบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวมุ่งหมายที่จะให้ศาลที่พิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาของให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีนี้ใหม่อีกครั้ง ไม่ปรากฎว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แต่อย่างไรก็ตามศาลฎีกาได้พิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว เห็นว่า จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์เพียงล้อมรั้วเอาไว้ มิได้ทำให้ที่ดินเสียหายพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยยังไม่ร้ายแรงนักสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีอีกสักครั้ง
พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ บังคับคดี ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น

Share