คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5100/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยข้อหาทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จำคุก 20 วันเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลล่างให้ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218บัญญัติห้ามมิให้คู่ความฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
จำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมสองครั้งในเวลาใกล้เคียงกันและสถานที่เกิดเหตุครั้งแรกกับครั้งหลังห่างกัน เพียงประมาณ 300 เมตรเจตนาในการข่มขืนกระทำชำเราทั้งสองครั้งยังต่อเนื่องกันอยู่หาได้ขาดตอนไม่ จึงเป็นความผิดกรรมเดียว แม้จำเลยไม่ฎีกาในปัญหาข้อนี้แต่การปรับบทลงโทษจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๐ เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอายุ ๒๔ ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาของจำเลยโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้เสียหายไม่สมัครใจยินยอม ภายหลังจากที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายดังกล่าวแล้วจำเลยบังคับพาผู้เสียหายไปยังที่อีกแห่งหนึ่งแล้วข่มขืน กระทำชำเราผู้เสียหายอีกเป็นครั้งที่ ๒ หลังจากนั้นจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยใช้มือตบศีรษะผู้เสียหายและเตะผู้เสียหายที่บริเวณกลางหลังเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๙๕, ๙๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๓๙๑, ๙๑ ความผิดตามมาตรา ๒๗๖ จำคุกกรรมละ ๑๘ ปีรวม ๒ กรรม จำคุก ๓๖ ปี ความผิดตามมาตรา ๓๙๑ จำคุก ๑ เดือนรวมจำคุก ๓๖ ปี ๑ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมตลอดจนทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งใน สามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ จำคุก ๒๔ ปี ๒๐ วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็ฯว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคแรก มาตรา ๙๑ ลงโทษจำคุกกระทงละ ๙ ปี ๒ กระทง เป็นจำคุก ๑๘ ปี รวมกับโทษฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา ๓๙๑ เป็นจำคุก ๑๘ ปี ๑ เดือน ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามคงจำคุกจำเลย ๑๒ ปี ๒๐ วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับข้อหาทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑ ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามาด้วยนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย๒๐ วัน เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลล่างให้ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๑๘ บัญญัติห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาในข้อหาทำร้ายร่างกายมาด้วยจึงไม่เป็นการถูกต้อง ข้อหาทำร้ายร่างกายนี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนข้อหาข่มขืนกระทำชำเรานั้น ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมตามฟ้องแต่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการข่มขืนกระทำชำเราที่จำเลยกระทำลงเป็นความผิด ๒ กรรม ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะการข่มขืนกระทำชำเราครั้งแรกกับครั้งหลังเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน และสถานที่เกิดเหตุครั้งแรกกับครั้งหลังก็ห่างกันเพียงประมาณ ๓๐๐ เมตร แสดงว่าเจตนาในการข่มขืนกระทำชำเราทั้งสองครั้งยังต่อเนื่องกันอยู่หาได้ขาดตอนไม่ จึงเป็นความผิดกรรมเดียว แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ แต่การปรับบทลงโทษจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้และเห็นสมควรปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖ วรรคแรก เป็นกระทงเดียว และกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสม
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๒๗๖ วรรคแรก ที่แก้ไขแล้ว และมาตรา ๓๙๑ ความผิดตามมาตรา ๒๗๖วรรคแรก ให้จำคุก ๑๘ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามเป็นจำคุก ๑๒ ปีรวมกับโทษจำคุก ๒๐ วัน ตามมาตรา ๓๙๑ ซึ่งถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้จำคุกจำเลย ๑๒ ปี ๒๐ วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share