คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5098/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในคดีมโนสาเร่นั้นกฎหมายได้กำหนดกระบวนพิจารณาสำหรับกรณีที่โจทก์ไม่มาศาลแตกต่างไปจากคดีแพ่งสามัญ การที่โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาโดยมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาล ให้ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 193 ทวิ วรรคหนึ่ง กรณีนี้ตามบทบัญญัติว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มิได้ให้ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ดังนั้น จึงนำมาตรา 202 ว่าด้วยการที่โจทก์ขาดนัดพิจารณาในคดีแพ่งสามัญมาบังคับแก่คดีนี้หาได้ไม่ เพราะในคดีมโนสาเร่กฎหมายได้บัญญัติหลักเกณฑ์ของการดำเนินกระบวนพิจารณาเมื่อโจทก์ไม่มาศาลไว้เป็นพิเศษแล้ว แม้จำเลยจะยื่นคำให้การและแจ้งต่อศาลชั้นต้นในวันสืบพยานขอให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ศาลก็ไม่อาจมีคำสั่งให้มีการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามมาตรา 202 ดังที่จำเลยอุทธรณ์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยผู้ทำละเมิดชำระค่าเสียหายจำนวน 18,691 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 18,461 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดพิจารณา ครั้งถึงวันนัดพิจารณาโจทก์ได้ทราบคำสั่งให้มาศาลแล้วไม่มาศาล โดยมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุที่ไม่มาศาล ส่วนจำเลยและทนายจำเลยมาศาล จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือโดยทนายจำเลยแถลงขอให้ศาลดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปและขอนำพยานเข้าสืบ ศาลชั้นต้นเห็นว่า ในคดีมโนสาเร่เมื่อโจทก์ทราบคำสั่งให้มาศาลในวันนัดพิจารณาแล้ว โจทก์ไม่มาศาลโดยมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาล ให้ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีต่อไป ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 ทวิ วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์ไม่มาศาล ศาลมีอำนาจจำหน่ายคดีได้เฉพาะกรณีที่จำเลยไม่ยื่นคำให้การ หรือจำเลยไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป แต่เมื่อจำเลยได้ยื่นคำให้การและแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอให้ศาลดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปแล้ว ศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามมาตรา 202 คำสั่งที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบและจำหน่ายคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 ทวิ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในคดีมโนสาเร่เมื่อโจทก์ได้ทราบคำสั่งให้มาศาลตามมาตรา 193 แล้วไม่มาในวันนัดพิจารณาโดยมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาล ให้ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ” จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงว่า ในคดีมโนสาเร่นั้นกฎหมายได้กำหนดกระบวนพิจารณาไว้โดยเฉพาะสำหรับกรณีที่โจทก์ไม่มาศาลแตกต่างไปจากคดีแพ่งสามัญ การที่โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาโดยมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ตามบทบัญญัติดังกล่าว กรณีนี้ตามบทบัญญัติว่าด้วยกระบวนพิจารณาคดีว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มิได้ให้ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ดังนั้น จึงนำมาตรา 202 ว่าด้วยการที่โจทก์ขาดนัดพิจารณาในคดีแพ่งสามัญมาบังคับแก่คดีนี้หาได้ไม่ เพราะในคดีมโนสาเร่กฎหมายได้บัญญัติหลักเกณฑ์ของการดำเนินกระบวนพิจารณาเมื่อโจทก์ไม่มาศาลไว้เป็นพิเศษแล้ว แม้จำเลยจะยื่นคำให้การและแจ้งต่อศาลชั้นต้นในวันสืบพยานขอให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ศาลก็ไม่อาจมีคำสั่งให้มีการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามมาตรา 202 ดังที่จำเลยอุทธรณ์ได้ คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้จำเลยอุทธรณ์เพียงขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปมิได้ขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 200 บาท แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์เป็นเงิน 467.50 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินจำนวน 267.50 บาท แก่จำเลย”
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินแก่จำเลย

Share