คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5096/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทมิได้ให้ความยินยอมด้วยในการที่ว. เจ้าของรวมอีกคนหนึ่งทำสัญญาจะขายที่พิพาทกับจำเลยจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทโดยทำสัญญาดังกล่าวเป็นการเข้าครอบครองตัวทรัพย์ทั้งหมดหรือที่พิพาททั้งแปลงมิใช่ครอบครองเฉพาะส่วนของว. เช่นนี้ว. จะกระทำได้ก็แต่โดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคนสัญญาจะขายที่พิพาทจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ถือไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยชอบโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด พร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยจัดการที่ดินแปลงดังกล่าวให้มีสภาพเรียบร้อยเสมือนมิได้มีการก่อสร้างอย่างใดมาก่อน ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะจัดการเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยและบริวารเข้าไปก่อสร้างโรงเรือนในที่ดินโดยสุจริตเนื่องจากโจทก์และสามีซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันได้ตกลงจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลย โจทก์และสามีได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่จำเลยและอนุญาตให้จำเลยเข้าไปปรับปรุงและก่อสร้างโรงเรือนในที่ดินได้ ขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์รับเงิน 2,500,000 บาท จากจำเลย และให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลย กับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างพร้อมบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7148 เลขที่ดิน 1094 ของโจทก์และให้จัดการที่พิพาทให้มีภาพเรียบร้อยโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างพร้อมบริวารออกจากที่พิพาทและจัดการที่พิพาทให้มีสภาพเรียบร้อย ให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับและไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายวิสุทธิ์ ที่พิพาทเป็นที่มีโฉนดมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อปี 2528 จำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทโดยปรับปรุงดินและสร้างบ้านขึ้นหลายหลังสำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยชอบและมีสิทธิซื้อที่พิพาทของโจทก์หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทร่วมกับนายวิสุทธิ์ เมื่อจำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทโดยการเสนอขายของนายวิสุทธิ์ และได้ส่งมอบการครอบครองที่พิพาทให้แก่จำเลยแล้วถือว่าจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทกับนายวิสุทธิ์โดยโจทก์ให้ความยินยอมสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทที่ทำกันดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจากคำเบิกความของจำเลยแสดงว่านายวิสุทธิ์เป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทให้แก่จำเลย แต่จากการนำสืบของจำเลยไม่ได้ความว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมที่พิพาทได้ให้ความยินยอมด้วย ที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือที่โจทก์มีไปถึงจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นหนังสือให้ความยินยอมของโจทก์ ศาลฎีกาได้พิจารณาหนังสือดังกล่าวแล้ว เห็นว่า ข้อความในเอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือที่เสนอขายที่พิพาทเท่านั้น หาใช่หนังสือยินยอมให้นายวิสุทธิ์ทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทกับจำเลยดังที่จำเลยฎีกาไม่ดังนี้จึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ให้ความยินยอม เมื่อกรณีฟังได้เช่่นนี้ถึงจะฟังว่าจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทโดยทำสัญญาจะซื้อขายกับนายวิสุทธิ์ ซึ่งเป็นเจ้าของรวมดังที่จำเลยอ้าง แต่การครอบครองทีพิพาทของจำเลยเป็นการเข้าครอบครองตัวทรัพย์ทั้งหมดหรือที่พิพาททั้งแปลง มิใช่ครอบครองเฉพาะส่วนของนายวิสุทธิ์เช่นนี้ นายวิสุทธิ์ จะกระทำได้ก็แต่โดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า โจทก์ได้ให้ความยินยอมสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทที่จำเลยอ้างว่าได้ทำกับนายวิสุทธิ์จึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ กรณีฟังไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองที่่พิพาทโดยชอบและไม่มีสิทธิซื้อที่พิพาทจากโจทก์
ส่วนปัญหาโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าที่พิพาทอยู่ในบังคับสัญญาจะซื้อขายระหว่างจำเลยกับนายวิสุทธิ์สามีโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย เห็นว่าเมื่อสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทที่จำเลยอ้างว่าทำกับนายวิสุทธิ์ไม่มีผลผูกพันโจทก์ ดังได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยชอบ ดังนี้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
พิพากษายืน

Share