คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5090/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นับตั้งแต่วันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรกจนถึงวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งสุดท้ายเป็นเวลานานถึง 8 เดือนเศษ ทั้งที่พยานจำเลยคงมีแต่ตัวจำเลยเพียงปากเดียวเท่านั้น และมีการส่งประเด็นไปสืบตัวจำเลยที่ศาลอื่นมาก่อน และศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสเต็มที่แก่จำเลยตลอดมา จนครั้งสุดท้ายทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุป่วยกะทันหัน ปวดศีรษะมีอาการมึนงง และแน่นหน้าอกอันเนื่องมาจากรับประทานทุเรียนมาก แม้ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีอ้างเหตุป่วยเจ็บก็ตามแต่เมื่อศาลเชื่อได้ว่าอาการของผู้ที่อ้างว่าป่วยนั้นไม่ร้ายแรงถึงกับจะมาศาลไม่ได้ ซึ่งให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาตามบทบัญญัติว่าด้วยการขาดนัดหรือการไม่มาศาลของ บุคคลที่อ้างว่าป่วยนั้นแล้วแต่กรณี ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 41 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเมื่อตามคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆที่จำเลยโต้แย้งว่า การเจ็บป่วยเป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งไม่อาจก้าวล่วงเสียได้นั้น จำเลยก็หาได้คัดค้านแสดงให้เห็นว่าอาการเจ็บป่วยของทนายจำเลยรุนแรงจนไม่สามารถมาศาลได้แต่อย่างใดไม่ พฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วส่อแสดงชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและให้งดสืบพยานจำเลย จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนอง โดยขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน462,161.02 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน291,210.64 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แทน ถ้าไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
เมื่อถึงวันนัดสืบพยานของจำเลย ปรากฏว่าจำเลยขอเลื่อนคดีหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายทนายจำเลยขอเลื่อนคดีอ้างว่าป่วยกะทันหันศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยมีพฤติการณ์และเจตนาประวิงคดีให้ล่าช้าทั้งสาเหตุที่ทนายจำเลยอ้างว่าป่วยกะทันหันก็ไม่ถึงกับจะทำให้ทนายจำเลยไม่สามารถมาว่าความได้ประกอบกับศาลได้กำชับจำเลยในนัดที่แล้วว่าหากจำเลยขอเลื่อนคดี หรือไม่ พร้อมนำพยานเข้าสืบหรือไม่มาศาลไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ศาลจะถือว่าจำเลยไม่ติดใจนำพยานเข้าสืบต่อสู้ตามคำให้การอีกต่อไป จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีกับให้งดสืบพยานจำเลยและนัดฟังคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 462,161.02 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 291,210.64 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 12277 ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้ ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและให้งดสืบพยานจำเลย โดยจำเลยโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้แล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่ากรณีมีเหตุสมควรให้จำเลยเลื่อนคดีตามคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรกในวันที่ 24 ตุลาคม 2539 เมื่อถึงวันนัด ทนายจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าประสงค์ติดใจสืบตัวจำเลยเป็นพยานเพียงปากเดียว และขอให้ส่งประเด็นไปสืบพยานปากจำเลยที่ศาลจังหวัดสงขลาในวันที่ 9 ธันวาคม 2539 ศาลชั้นต้นอนุญาตครั้นถึงวันนัด ทนายจำเลยแถลงขอเลื่อนคดีอ้างว่าจำเลยเดินทางไปเผาศพญาติที่ต่างจังหวัด ศาลที่รับประเด็นอนุญาตให้เลื่อนคดีไปนัดสืบพยานประเด็นจำเลยในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2540 ถึงวันนัดทนายจำเลยแถลงว่าจำเลยย้ายไปอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ขอให้ส่งประเด็นคืน ต่อมาวันที่ 2 เมษายน 2540 ศาลชั้นต้นแจ้งประเด็นกลับให้คู่ความทราบทนายจำเลยแถลงว่าจะติดตามตัวจำเลยมาเบิกความที่ศาลชั้นต้นในวันนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 30 พฤษภาคม 2540เมื่อถึงวันนัด ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าจำเลยติดงานศพญาติที่กรุงเทพมหานคร ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมสมควรให้โอกาสจำเลยเป็นครั้งสุดท้ายโดยให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ซึ่งศาลชั้นต้นได้บันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณากำชับให้จำเลยเตรียมพยานมาสืบให้แล้วเสร็จในนัดหน้า หากนัดหน้าจำเลยขอเลื่อนคดี หรือไม่พร้อมนำพยานเข้าสืบไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ หรือไม่มาศาลไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ศาลจะถือว่าจำเลยไม่ติดใจนำพยานเข้าสืบต่อสู้ตามคำให้การอีกต่อไป แต่ถึงวันนัด ทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่นต่อศาลชั้นต้น อ้างว่าทนายจำเลยป่วยกะทันหันปวดศีรษะมีอาการมึนงงและแน่นหน้าอกอันเนื่องมาจากรับประทานทุเรียนมาก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดสืบพยานจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่านับตั้งแต่วันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรกในวันที่ 24 ตุลาคม 2539 ถึงวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งสุดท้ายวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เป็นเวลานานถึง 8 เดือนเศษ ทั้งที่พยานจำเลยคงมีแต่ตัวจำเลยเพียงปากเดียวเท่านั้น และมีการส่งประเด็นไปสืบตัวจำเลยที่ศาลจังหวัดสงขลามาก่อน แสดงว่าศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสเต็มที่แก่จำเลยตลอดมาจนครั้งสุดท้ายทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุป่วยกะทันหันปวดศีรษะมีอาการมึนงงและแน่นหน้าอกอันเนื่องมาจากรับประทานทุเรียนมาก แม้ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีอ้างเหตุป่วยเจ็บก็ตามแต่ถ้าศาลเชื่อว่าอาการของผู้ที่อ้างว่าป่วยนั้นไม่ร้ายแรงถึงกับจะมาศาลไม่ได้ ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาตามบทบัญญัติว่าด้วยการขาดนัดหรือการไม่มาศาลของบุคคลที่อ้างว่าป่วยนั้นแล้วแต่กรณี ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 41 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งตามคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยดังกล่าวแล้ว เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งตามฎีกาของจำเลยก็โต้แย้งแต่เพียงว่า การเจ็บป่วยเป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ จำเลยหาได้คัดค้านแสดงให้เห็นว่าอาการเจ็บป่วยของทนายจำเลยรุนแรงจนไม่สามารถมาศาลได้แต่อย่างใดไม่พฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วส่อแสดงชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและให้งดสืบพยานจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share