คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5088/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 1ก็มุ่งประสงค์ที่จะได้รับชำระค่าที่ดินตามสัญญา อันเป็นความประสงค์ที่จะได้รับชำระหนี้โดยถูกต้องตรงตามวัตถุทีประสงค์แห่งหนี้ ทั้งการจะบังคับให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้เป็นอย่างอื่นผิดไปจากที่จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 320 ก็บัญญัติว่าหาอาจจะบังคับได้ไม่ ที่สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกำหนดไว้ว่าถ้าผู้จะซื้อผิดสัญญาไม่ไปทำหนังสือและจดทะเบียนรับซื้อตามกำหนดในข้อตกลงนี้ ผู้จะซื้อยอมให้ผู้จะขายริบเงินมัดจำนั้นเป็นเพียงข้อสัญญาที่ให้สิทธิแก่ผู้จะขายในกรณีที่ผู้จะซื้อผิดสัญญาข้อสัญญาดังกล่าวหาได้เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้ให้ตรงตามวัตถุที่ประสงค์แห่งหนี้หรือหามีผลเป็นการบังคับให้โจทก์ริบได้เฉพาะเงินมัดจำเท่านั้นไม่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ดินพิพาทและรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เนื้อที่ 53 ไร่ จากโจทก์ ตกลงราคาซื้อขายเป็นเงิน 11,660,000 บาท ในวันทำสัญญาจำเลยที่ 1 ได้วางมัดจำไว้แล้วเป็นเงิน 3,660,000 บาท ส่วนอีก 8,000,000 บาท จำเลยที่ 1ชำระให้เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน 2 ฉบับ ฉบับละ 4,000,000 บาทมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับอาวัล กำหนดจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระราคาทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับโจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหาย คิดเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องทั้งสิ้นเป็นเงิน 9,648,767.12 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน8,000,000 บาท ตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยที่ 1 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามสัญญาจะซื้อจะขายตามฟ้องจากโจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า ขณะทำสัญญาโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้เคยทักท้วงไปยังโจทก์แล้วแต่โจทก์นิ่งเฉย และเมื่อจำเลยที่ 1 จะเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าว ปรากฎว่าบุคคลภายนอกหลายรายอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวมาเป็นเวลานานแล้วจนเป็นเจ้าของที่ดิน และหลายรายก็อ้างว่าได้ใช้สิทธิทางศาลแล้ว จำเลยที่ 1 เคยแจ้งให้โจทก์ทราบอีก แต่โจทก์เพิกเฉย การกระทำของโจทก์เป็นการแจ้งเท็จต่อจำเลยที่ 1โจทก์ทราบดีอยู่แล้ว แต่กลับปกปิดเสีย จนจำเลยที่ 1 หลงเชื่อเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายด้วย ทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย ต้องขาดทุนและไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยที่ 1 เคยบอกเลิกสัญญาและให้โจทก์คืนเงินมัดจำ 3,660,000 บาทแต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยขอถือเอาคำให้การเป็นการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายแก่โจทก์ ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หากฟังว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์ก็คงมีสิทธิเพียงริบเงินมัดจำเท่านั้น และจำเลยที่ 1 ขอฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และเมื่อจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายแล้วโจทก์มีหน้าที่ต้องคืนเงินมัดจำจำนวน 3,660,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์ให้ใช้เงินจำนวน 3,660,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่จำต้องรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้อง เพราะจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับอาวัลเพื่อใช้เป็นรายการแสดงกำไร และจ่ายเงินปันผลของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่สามารถครอบครองที่ดินได้นั้นไม่เป็นความจริง เพราะตามสัญญาจะซื้อจะขายตกลงให้จำเลยในฐานะผู้จะซื้อเข้าครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินตั้งแต่วันทำสัญญาโดยปราศจากการรอนสิทธิและความชำรุดบกพร่องจำเลยที่ 1 ไม่เคยแจ้งว่าไม่สามารถเข้าครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดคืนเงินมัดจำจำนวน 3,660,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่จำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 8,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 4,000,000 บาท นับแต่วันที่ 29 เมษายน 2526 และอีก4,000,000 บาท นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2526 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องรวมกันไม่เกิน1,648,767.12 บาท และให้จำเลยที่ 1 รับโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เล่ม 1 เลขที่ 77 หน้า 96 ตำบลคลองตำหรุอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี จากโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า แม้จำเลยที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์ก็มีสิทธิเพียงริบมัดจำตามที่จำเลยที่ 1ได้วางไว้เท่านั้น ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาและรับโอนที่ดินพิพาท เห็นว่า การที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.6 ก็มุ่งประสงค์ที่จะได้รับชำระค่าที่ดินตามสัญญา อันเป็นความประสงค์ที่จะได้รับชำระหนี้โดยถูกต้องตรงตามวัตถุทีประสงค์แห่งหนี้ ทั้งการจะบังคับให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้เป็นอย่างอื่นผิดไปจากที่จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 320 ก็บัญญัติว่า หาอาจจะบังคับได้ไม่ ที่สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 6กำหนดไว้ว่า ถ้าผู้จะซื้อผิดสัญญาไม่ไปทำหนังสือและจดทะเบียนรับซื้อตามกำหนดในข้อตกลงนี้ ผู้จะซื้อยอมให้ผู้จะขายริบเงินมัดจำนั้นเป็นเพียงข้อสัญญาที่ให้สิทธิแก่ผู้จะขายในกรณีที่ผู้จะซื้อผิดสัญญาข้อสัญญาดังกล่าวหาได้เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้ให้ตรงตามวัตถุที่ประสงค์แห่งหนี้หรือหามีผลเป็นการบังคับให้โจทก์ริบได้เฉพาะเงินมัดจำเท่านั้นไม่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ดินพิพาทและรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้
พิพากษายืน

Share