แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระหว่างพิจารณาคดีนี้จำเลยที่ 1 ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองคดีนี้เฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 1 จำนวน 2,528,918.34 บาทกรณีย่อมต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 27,95 และ 96 โจทก์ซึ่งอ้างว่าได้ฟ้องจำเลยทั้งสามร่วมกับบริษัทจึงย่อมปฏิบัติการขอรับชำระหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีดังกล่าวได้ดุลกันโจทก์ไม่มีอำนาจนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในส่วนของจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไปชำระหนี้ในคดีที่โจทก์ประสงค์โดยไม่ได้ปฏิบัติการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อโจทก์คดีนี้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในคดีนี้ในส่วนของจำเลยที่ 1เป็นเงิน 2,528,918.34 บาท แล้วก็ต้องถือว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ในคดีนี้แล้วบางส่วนจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในส่วนของจำเลยที่ 1 จากการที่จำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์ฉะนั้น จำเลยที่ 2 และ ที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้จำเลยที่ 1จึงย่อมได้รับประโยชน์ในผลของการชำระหนี้นั้นด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน9,429,383.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงิน6,734,589.04 บาท นับแต่วันถัดวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระก็ให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบทที่ดินโฉนดเลขที่ 105976 ถึง 105979 ตำบลลาดยาว(บางซื่อฝั่งเหนือ) อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานครออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์หากได้เงินไม่ชำระก็ให้ยึดทรัพย์อื่น ๆ ของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้สินของจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 1,735,000 บาท เท่านั้น และไม่เคยจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 105976 ถึง 105979ตำบลลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) อำเภอบางเขต (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร ประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ฉะนั้นจำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในวงเงินประกันดังกล่าวเท่านั้น และเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน2532 โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ยอมผ่อนผันลดหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยบางส่วนให้จำเลยที่ 1 และได้มีการชำระหนี้กันบางส่วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า หนี้ตามฟ้องเดิมเคยมีที่ดินโฉนดเลขที่ 59960 ถึง 59961 ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานครจำนองประกันหนี้รวมอยู่ด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 2,000,000 บาท แล้วไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าวไป หนี้ตามฟ้องจึงไม่ถูกต้อง ต่อมาวันที่ 31 พฤษภาคม 2532 โจทก์และจำเลยทั้งสามได้ตกลงกันว่าบรรดาหนี้สินทั้งหมดที่มีอยู่ให้บริษัทเซ้าท์อีสออโตสะแพพาทส์ (1978) จำกัด มาเป็นผู้รับผิดแทนแล้วหนี้ระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสามจึงระงับไปแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาตจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 6,900,465.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปีในต้นเงิน 6,734,589.04 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ปฏิบัติตามให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ดินโฉนดเลขที่ 105976 ถึง 105979 ตำบลลาดยาว(บางซื่อฝั่งเหนือ) อำเภอบางเขน (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การแถลงรับข้อเท็จจริงในระหว่างพิจารณาตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 19 ธันวาคม 2534แสดงว่าระหว่างพิจารณาคดีนี้จำเลยที่ 1 ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองคดีนี้เฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 1 จำนวน 2,528,918.34 บาท กรณีย่อมต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27, 95 และ 96 โจทก์ซึ่งอ้างว่าได้ฟ้องจำเลยทั้งสามร่วมกับบริษัทเซ้าท์อีสออโตสะแพพาสท์ (1978) จำกัด จึงย่อมปฏิบัติการขอรับชำระหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ในคดีดังกล่าวได้ดุจกันโจทก์ไม่มีอำนาจนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในส่วนของจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไปชำระหนี้ในคดีที่โจทก์ประสงค์ โดยไม่ได้ปฏิบัติการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อทนายโจทก์คดีนี้แถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 19ธันวาคม 2534 ว่า โจทก์คดีนี้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในคดีนี้ในส่วนของจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 2,528,918.34 บาทจริงแล้ว โดยไม่ปรากฎว่าฝ่ายโจทก์ได้ขอแก้ไขคำแถลงดังกล่าว ก็ต้องถือว่าโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ในคดีนี้แล้วบางส่วนจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในส่วนของจำเลยที่ 1 จากการที่จำเลยที่ 1ถูกพิทักษ์ทรัพย์ ฉะนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้จำเลยที่ 1 จึงย่อมได้รับประโยชน์ในผลของการชำระหนี้ นั้นด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามมาตรา 698ซึ่งบัญญัติว่า “อันผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในขณะเมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับสิ้นไปไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆ” ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ 1 จำนวน9,429,383.73 บาท โดยหักยอดเงิน 2,528,918.34 บาท ที่โจทก์ได้รับชำระหนี้แล้วคงเหลือยอดเงินที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดเป็นจำนวนเงิน 6,900,465.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงิน6,734,589.04 บาท นั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พิพากษายืน