แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายเป็น ประจักษ์พยานเพียงปากเดียวและได้เบิกความว่าได้เล่าเรื่องที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายให้นาง อ.ร.และนาง อ.น. ฟังแตกต่างจากนาง อ.ร. และนาง อ.น. ที่เบิกความว่าผู้เสียหายมิได้เล่าเรื่องเช่นนั้นทำให้น่าสงสัยว่าผู้เสียหายถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราจริงหรือไม่พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังมี ข้อน่าสงสัยต้อง ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา227วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 3 มกราคม 2535 เวลา กลางคืนก่อน เที่ยง จำเลย ได้ กระทำ ความผิด กฎหมาย หลายกรรม ต่างกัน กล่าว คือจำเลย โดย มี อาวุธปืน สั้น จำนวน 1 กระบอก ติดตัว ไป ด้วย ได้ ใช้ อาวุธปืนดังกล่าว ขู่เข็ญ ขืน ใจ ให้ นาง บัวลี วงศ์กระจ่าง ผู้เสียหาย เดิน เข้า ไป ใน สวน ยาง กับ จำเลย โดย ใช้ กำลัง ประทุษร้าย เข้า ฉุดคร่า จับ มือผู้เสียหาย บังคับ ให้ นอน ลง กับ พื้น หญ้า แล้ว ใช้ อาวุธปืน ดังกล่าวจี้ ขู่เข็ญ ผู้เสียหาย ว่า จะ ทำ อันตราย ต่อ ชีวิต เป็นเหตุ ทำให้ผู้เสียหาย กลัว ว่า จะ เกิด อันตราย ต่อ ชีวิต และ ร่างกาย ของ ตน จำยอม เดินเข้า ไป ใน สวน ยาง และ นอน ลง บน พื้น หญ้า ใน สวน ยาง ตาม ที่ จำเลย ข่มขืน ใจดังกล่าว แล้ว จำเลย ได้ ใช้ อาวุธปืน ดังกล่าว จี้ ขู่เข็ญ กระทำอนาจารผู้เสียหาย ซึ่ง มิใช่ ภริยา ของ ตน และ ใช้ กำลัง ประทุษร้าย กอดปล้ำจน ผู้เสียหาย อยู่ ใน ภาวะ ที่ ไม่สามารถ ขัดขืน ได้ แล้ว จำเลย ได้ ข่มขืนกระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย จน สำเร็จความใคร่ เหตุ เกิด ที่ ตำบล คลองปราบ อำเภอ บ้านนาสาร จังหวัด สุราษฎร์ธานี ขอให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91, 276, 278, 309
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง , 278, 309 วรรคสองการกระทำ ของ จำเลย เป็น กรรมเดียว ผิด กฎหมาย หลายบท ให้ ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ซึ่ง เป็น บทหนัก ที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 15 ปี
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว คดี มี ปัญหา ต้อง วินิจฉัย ในชั้น นี้ ตาม ที่ จำเลย ฎีกา ว่า จำเลย ได้ กระทำ ความผิด ตาม ฟ้อง หรือไม่ใน ปัญหา นี้ โจทก์ มี นาง บัวลี วงศ์กระจ่าง ผู้เสียหาย เบิกความ เป็น ประจักษ์พยาน ว่า ใน วันเกิดเหตุ เวลา ประมาณ 4 นาฬิกา ผู้เสียหายเบิกความ เป็น ประจักษ์พยาน ว่า ใน วันเกิดเหตุ เวลา ประมาณ 4 นาฬิกาผู้เสียหาย ออกจาก บ้าน ที่พัก อยู่ กับ นาย สิริพล จันทร์โชติ สามี ซึ่ง ไม่ได้ จดทะเบียนสมรส กัน ของ ผู้เสียหาย ไป กรีด ยาง ใน สวน ยางพา ราของ นาง อารีย์ หนูจันทร์แก้ว ห่าง จาก บ้าน ผู้เสียหาย ประมาณ 100 เมตร โดย จุด ตะเกียง แก๊ส ติด ไว้ ที่ หน้าผาก ต่อมา เวลา 4.30 นาฬิกาขณะที่ ผู้เสียหาย กรีด ยาง อยู่ มี รถจักรยานยนต์ มา จอด ข้าง สวน ยางพารา ที่ผู้เสียหาย กรีด ยาง ห่าง จาก ผู้เสียหาย ประมาณ 2 เมตร ผู้เสียหายเห็น มี ชาย อยู่ บน รถจักรยานยนต์ ดังกล่าว 2 คน ต่อมา ชาย คนหนึ่งเดิน มา ที่ ผู้เสียหาย ผู้เสียหาย เงยหน้า ขึ้น ดู เห็น หน้า ชาย ดังกล่าวจาก แสง ไฟ ตะเกียง แก๊ส ที่ หน้าผาก ผู้เสียหาย ว่า คือ จำเลย ซึ่ง ผู้เสียหายรู้ จัก มา ก่อน บ้าน ผู้เสียหาย กับ จำเลย อยู่ ใกล้ กัน ห่าง ประมาณ1 กิโลเมตร ครึ่ง ผู้เสียหาย ถาม จำเลย ว่า พรรปรือ จำเลย ไม่ ตอบ กลับใช้ มือ ข้าง หนึ่ง จับ คอเสื้อ ของ ผู้เสียหาย และ มือ อีก ข้าง หนึ่ง แย่งมีด กรีด ยาง ของ ผู้เสียหาย โยน ทิ้ง ไป ต่อมา จำเลย ดึง อาวุธปืน สั้น จาก เอวมา จี้ เอว ผู้เสียหาย และ ใช้ มือ อีก ข้าง หนึ่ง คลำ ที่ คอ ของ ผู้เสียหายแล้ว พูด ว่า สร้อย อยู่ ที่ ไหน เอา มา ผู้เสียหาย บอก จำเลย ว่า สร้อย ไม่มีไม่ได้ ใส่ มา จำเลย ถาม ถึง สามี ของ ผู้เสียหาย ว่า อยู่ หรือไม่ผู้เสียหาย ว่า ไม่อยู่ จำเลย จับ มือ ผู้เสียหาย ดึง ไป ห่าง จาก ต้นยาง พา ราที่ ผู้เสียหาย กรีด ยาง อยู่ ประมาณ 1 วา แล้ว บอก ว่า อย่า วิ่ง อย่า ส่งเสียงดัง มิฉะนั้น จะ ยิง ให้ ตาย แล้ว จำเลย ใช้ อาวุธปืน จี้ บังคับให้ ผู้เสียหาย นอน ลง จำเลย ใช้ มือ ดึง กางเกง ผู้เสียหาย ออกจาก ขาข้าง หนึ่ง อีก ข้าง หนึ่ง ติด อยู่ แค่หัวเข่า แล้ว จำเลย ถอด กางเกง ของจำเลย และ เอา อวัยวะ ของ จำเลย สอด ใส่ ไป ใน อวัยวะเพศ ของ ผู้เสียหาย นานประมาณ 3 นาที เสร็จ แล้ว จำเลย พูด ขู่ ผู้เสียหาย ไม่ให้ ไป บอก ผู้ใดถ้า บอก จะ กลับมา ยิง ให้ ตาย แล้ว จำเลย นุ่งกางเกง เดิน ไป ที่ รถจักรยานยนต์ซึ่ง ชาย อีก คนหนึ่ง ยัง คอย อยู่ ขับ ออก ไป ผู้เสียหาย ลุกขึ้น ใส่ กางเกง ไปกรีด ยาง ต่อ จน ถึง เวลา 7 นาฬิกา ก็ กลับ บ้าน ไม่ได้ บอก ใครต่อมา เวลา เที่ยงวัน ผู้เสียหาย ไป บ้าน นาง อารีย์ หนูจันทร์แก้ว เล่าเรื่อง ที่ ถูก จำเลย ข่มขืน กระทำ ชำเรา ให้ นาง อารีย์ ฟัง นาง อารีย์ บอก ว่า จะ ไป บอก กำนัน ให้ หลังจาก บอก นาง อารีย์ แล้ว ผู้เสียหาย กลับมา บ้าน ต่อมา เวลา ประมาณ 13 นาฬิกา สามี ผู้เสียหายกลับมา ผู้เสียหาย เล่าเรื่อง ให้ สามี ฟัง สามี ให้ ผู้เสียหาย ไป แจ้งความที่ สถานีตำรวจ ต่อมา เวลา 15.30 นาฬิกา ผู้เสียหาย ไป แจ้งความตาม บันทึก คำร้องทุกข์ เอกสาร หมาย จ. 1 โดย เบิกความ ตอบ ทนายจำเลยถาม ค้าน ว่า ใน คืน เกิดเหตุ นาง อนงค์ ลูกจ้าง ของ นาง อารีย์ กรีด ยาง อยู่ ห่าง ประมาณ 200-300 เมตร ถ้า ผู้เสียหาย ตะโกน ร้อง เรียก ให้คน ช่วย คน ที่ กรีด ยาง อยู่ จะ ได้ยิน นอกจาก นี้ แล้ว โจทก์ มี นาง อารีย์ หนูจันทร์แก้ว และ นาง อนงค์ รามแก้ว เบิกความ เป็น พยาน ประกอบ ด้วย แต่ ปรากฏว่า ที่ ผู้เสียหาย เบิกความ ว่า ผู้เสียหาย ไป บ้าน นาง อารีย์ เวลา เที่ยงวัน ของ วันเกิดเหตุ และ เล่าเรื่อง ที่ ถูก จำเลย ข่มขืนกระทำ ชำเรา ให้ นาง อารีย์ ฟัง นาง อารีย์ บอก ว่า จะ ไป บอก กำนัน ให้ นั้น นาง อารีย์ มิได้ เบิกความ ว่า ผู้เสียหาย มา เล่า ให้ นาง อารีย์ ฟัง ว่า ถูก จำเลย ข่มขืน กระทำ ชำเรา เช่นนั้น แต่ เบิกความ ว่าพยาน ทราบ เหตุ คดี นี้ เมื่อ วันที่ 24 (ที่ ถูก น่า จะ เป็น วันที่ 4)มกราคม 2535 เวลา ประมาณ เที่ยงวัน โดย ผู้เสียหาย มา บอก ว่าเมื่อ วันที่ 3 มกราคม 2535 เวลา ประมาณ 4 นาฬิกา ผู้เสียหายถูก จำเลย กับพวก อีก หนึ่ง คน เอา ปืน จี้ จะ เอา สร้อยคอ ทองคำ แต่ ใน คืนดังกล่าว ผู้เสียหาย ไม่ได้ สวม สร้อย ต่อมา จำเลย ได้ ทำการ ปลุกปล้ำผู้เสียหาย เมื่อ ทราบ เรื่อง ดังกล่าว พยาน ไป หา นาย สมหมาย หนูจันทร์แก้ว (ที่ ถูก คือ หนูศรีแก้ว ) กำนัน เพื่อ ให้ นาย สมหมาย พูด กับ จำเลย ต่อมา พยาน ทราบ ว่า ผู้เสียหาย ได้ ไป แจ้งความ ดำเนินคดี แก่จำเลย ซึ่ง ใน ข้อ นี้ นาย สมหมาย หนูศรีแก้ว กำนัน ตำบล คลองปราบ อำเภอ บ้านนาสาร จังหวัด สุราษฎร์ธานี เบิกความ เป็น พยาน จำเลย เจือสม กับ นาง อารีย์ ว่า พยาน ทราบ เหตุ เมื่อ วันที่ 4 มกราคม 2535โดย นาง อารีย์ นายจ้าง ของ ผู้เสียหาย บอก พยาน วันที่ นาง อารีย์ เล่า ให้ พยาน ฟัง นั้น ได้ บอก ว่า จำเลย ยัง ไม่ได้ ข่มขืน กระทำ ชำเราผู้เสียหาย เพราะ มี คน มา เรียก ชื่อ ผู้เสียหาย จำเลย จึง หลบหนี ไป พยานเล่า เหตุการณ์ ให้ พนักงานสอบสวน ทราบ เช่นนั้น ตาม บันทึก คำให้การเอกสาร หมาย ล. 1 คำเบิกความ ของ นาง อารีย์ พยานโจทก์ และ นาย สมหมาย พยาน จำเลย สอดคล้อง ต้อง กัน เช่นนี้ ทำให้ น่าเชื่อ ว่า ผู้เสียหาย มิได้ แจ้ง แก่ นาง อารีย์ ว่า จำเลย ได้ ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย ยิ่งกว่า นั้น ที่ ผู้เสียหาย เบิกความ ว่า หลังจาก จำเลยขับ รถจักรยานยนต์ ออก ไป แล้ว ผู้เสียหาย กรีด ยาง ต่อ จน ถึง เวลา 7นาฬิกา ก็ กลับ บ้าน และ ไม่ได้ บอก ผู้ใด จน กระทั่ง ไป เล่าเรื่องที่ ถูก จำเลย ข่มขืน กระทำ ชำเรา ให้ นาง อารีย์ ฟัง เมื่อ เวลา เที่ยงวัน ของ วันเกิดเหตุ นั้น กลับ ได้ความ จาก คำเบิกความ ของ นาง อนงค์ พยานโจทก์ ว่า พยาน และ ผู้เสียหาย ต่าง เป็น ลูกจ้าง รับจ้าง กรีด ยางใน สวน ยางพารา ของ นาง อารีย์ เมื่อ วันที่ 2 (ที่ ถูก คือ วันที่ 3)มกราคม 2535 เวลา 3 นาฬิกา พยาน ออก ไป กรีด ยาง ตาม ปกติ กับ บุตรสาวโดย กรีด ยาง คน ละ แปลง กับ ผู้เสียหาย ผู้เสียหาย มา ที หลัง พยาน ขณะกรีด ยาง อยู่ เห็น รถจักรยานยนต์ วิ่ง ตาม ทาง สวน ยางพารา ไป ทาง แปลง ที่ผู้เสียหาย กรีด ยาง อยู่ แต่ มอง ไม่เห็น ว่า มี ผู้ นั่ง อยู่ ทั้งหมด กี่ คนใน ขณะ นั้น พยาน กรีด ยาง อยู่ ห่าง จาก ที่ ผู้เสียหาย กรีด ยาง ประมาณ20 เมตร พยาน กรีด ยาง แล้ว เสร็จ เวลา ประมาณ 9 นาฬิกา ได้ พบ กับผู้เสียหาย ผู้เสียหาย บอก พยาน ว่า ถูก คนร้าย ซึ่ง เป็น ชาย สอง คน ใช้อาวุธปืน จี้ ผู้เสียหาย โดย คนร้าย คนหนึ่ง นั่ง อยู่ ใน บน รถจักรยานยนต์ส่วน อีก คนหนึ่ง เดิน เข้า ไป หา ผู้เสียหาย คนร้าย ต้องการ จะ เอา ทรัพย์สินจาก ผู้เสียหาย แต่ ผู้เสียหาย ไม่ได้ ใส่ ทรัพย์สิน ผู้เสียหาย ไม่ได้ บอกพยาน ว่า คนร้าย คือ ใคร และ ไม่ได้ เล่า ให้ พยาน ฟัง ว่า ถูก คนร้ายข่มขืน กระทำ ชำเรา ด้วย พยาน ถาม ผู้เสียหาย ว่า ทำไม ผู้เสียหาย ไม่ร้อง เรียก พยาน ที่อยู่ ใกล้ กัน ผู้เสียหาย ว่า ไม่ กล้า เรียก เนื่องจากถูก คนร้าย ขู่ ศาลฎีกา ได้ พิเคราะห์ คำเบิกความ ของ พยานโจทก์ ดังกล่าวแล้ว เห็นว่า คดี นี้ โจทก์ คง มี แต่ ตัว ผู้เสียหาย เป็น ประจักษ์พยาน เพียงปาก เดียว การ ที่ ผู้เสียหาย เบิกความ แตกต่าง จาก นาง อนงค์ และ นาง อารีย์ เช่นนี้ ทำให้ น่า สงสัย ว่า ผู้เสียหาย ถูก จำเลย ข่มขืน กระทำ ชำเรา จริง หรือไม่ เพราะ หาก ผู้เสียหาย ถูก จำเลย ข่มขืน กระทำ ชำเราจริง แล้ว เมื่อ ผู้เสียหาย เล่าเรื่อง ให้ นาง อนงค์ และ นาง อารีย์ ฟัง ก็ ควร เล่า ว่า ถูก จำเลย ข่มขืน กระทำ ชำเรา ด้วย แต่ กลับ ปรากฏว่าผู้เสียหาย มิได้ เล่า ให้ พยานโจทก์ ทั้ง สอง ฟัง เช่นนั้น คง เล่า แต่เพียงว่า คนร้าย จะ เอา ทรัพย์สิน จาก ผู้เสียหาย แต่ ไม่ได้ ทรัพย์สิน ไป เพราะผู้เสียหาย ไม่ได้ ใส่ ทรัพย์สิน พยานหลักฐาน ของ โจทก์ จึง ยัง มี ข้อน่า สงสัย ต้อง ยก ประโยชน์ แห่ง ความ สงสัย ให้ แก่ จำเลย ตาม ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ ศาลล่าง ทั้ง สองพิพากษา ว่า จำเลย กระทำผิด ตาม ฟ้อง และ ลงโทษ จำเลย นั้น ไม่ต้อง ด้วยความเห็น ของ ศาลฎีกา ฎีกา ของ จำเลย ฟังขึ้น ”
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง