คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7727/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากบริษัท อ. โดยชำระเงินในวันทำสัญญาบางส่วน ที่เหลือผ่อนชำระเดือนละงวดรวม 36 งวดมีชาวบ้านที่จำเลยจ้างมาเป็นผู้ค้ำประกัน หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อและรับรถไปแล้วจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อและไม่ติดต่อกับผู้เสียหายอีกเลย บริษัท อ. จึงบอกเลิกสัญญา แต่จำเลยไม่ส่งมอบรถคืนเมื่อสอบถามจำเลย จำเลยแจ้งว่าขายไปแล้วแต่ไม่ยอมบอกว่าขายให้แก่ผู้ใด ดังนี้ การที่จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อและชำระเงินล่วงหน้าก็เพื่อให้ได้รถยนต์ไปไว้ในครอบครอง มิได้มีเจตนาจะชำระราคาอีก พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของบริษัท อ. ที่อยู่ในครอบครองของจำเลยไปโดยทุจริตเป็นความผิดฐานยักยอก หาใช่เป็นเพียงการกระทำผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ครอบครองรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ของบริษัทอีซูซุเสนียนต์นครสวรรค์ จำกัด ผู้เสียหาย แล้วจำเลยเบียดบังเอารถยนต์บรรทุกสิบล้อคันดังกล่าวของผู้เสียหายเป็นของจำเลยหรือของบุคคลที่สามโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 2,238,009.25บาทแก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ โดยอัยการพิเศษประจำเขต 6 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยครอบครองรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขเครื่องยนต์723835 ราคา 2,238,009.25 บาท ของบริษัทอีซูซุเสนียนต์นครสวรรค์จำกัด ผู้เสียหาย โดยทำสัญญาเช่าซื้อ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยยักยอกรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันดังกล่าวหรือไม่โจทก์มีนางสาวจินณ์เกษม สาระคุณ กรรมการบริษัทผู้เสียหาย และนางสาวจารุภา มีพร้า เบิกความเป็นพยานประกอบสำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ และสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3รับฟังได้ว่าจำเลยเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขเครื่องยนต์ 723835 ชำระเงินวันทำสัญญา 245,245.45 บาทที่เหลือผ่อนชำระเดือนละงวด งวดละ 55,354.55 บาท รวม 36 งวด หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อและรับรถยนต์บรรทุกสิบล้อไปแล้ว จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ไม่ติดต่อกับผู้เสียหายอีกเลยผู้เสียหายจึงบอกเลิกสัญญาตามเอกสารหมาย จ.4 และใบตอบรับเอกสารหมาย จ.5 แต่จำเลยไม่ส่งมอบรถยนต์บรรทุกคืนแก่ผู้เสียหายผู้เสียหายนำเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายไปเบิกเงินก็ถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน พยานหลักฐานโจทก์ดังนี้แสดงว่า จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อชำระเงินล่วงหน้าจำนวนหนึ่งเพียงเพื่อให้ได้รถยนต์บรรทุกสิบล้อไปไว้ในครอบครองไม่มีเจตนาจะชำระราคาอีก โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยไม่ชำระค่างวดตั้งแต่งวดแรกไม่ขอผัดผ่อน ไม่ติดต่อด้วย เมื่อสัญญาเลิกกันก็ไม่คืนรถยนต์แก่ผู้เสียหาย หากมีข้อขัดข้องควรต้องแจ้งให้ผู้เสียหายทราบ แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ซึ่งผิดวิสัยผู้ทำการโดยสุจริต นางสาวจินณ์เกษมและนางสาวจารุภาพยานโจทก์เบิกความตรงกันว่า ติดตามสืบหารถยนต์แล้วไม่พบ สอบถามผู้ใหญ่บ้านได้ความว่าจำเลยขายไปแล้ว ส่วนผู้ค้ำประกันเป็นเพียงชาวบ้านที่จำเลยจ้างให้ทำสัญญาค้ำประกัน เมื่อจำเลยถูกจับคดีกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พยานทั้งสองถามจำเลยเรื่องรถยนต์จำเลยบอกว่าขายไปแล้ว แต่ไม่ยอมบอกว่าขายแก่ใคร และรถยนต์อยู่ที่ใด ปรากฏตามบันทึกคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.6 และตามคำเบิกความร้อยตำรวจเอกวิริยะบัณฑิต สถิตย์สุวชาติ พนักงานสอบสวนพยานหลักฐานและพฤติการณ์ดังนี้ชี้ว่าจำเลยซึ่งครอบครองรถยนต์บรรทุกสิบล้อของผู้เสียหายเบียดบังเอารถยนต์นั้นไว้เป็นของจำเลยหรือผู้อื่นโดยเจตนาทุจริต พยานหลักฐานฝ่ายจำเลยมีแต่จำเลยนำสืบปฏิเสธลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน การที่จำเลยอ้างว่ารถยนต์ถูกนายเหน่งเอาไปรับจ้างแล้วไม่เอามาคืน จึงไม่น่าเชื่อเพราะรถยนต์เป็นของผู้เสียหาย จำเลยเช่าซื้อมา จำเลยย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าต้องรับผิดต่อเจ้าของตามสัญญา แต่ทางนำสืบของจำเลยไม่ปรากฏว่านายเหน่งที่ว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ เป็นคนที่ไหนเกี่ยวข้องใกล้ชิดอย่างไร และเพราะเหตุใดจำเลยจึงส่งมอบรถยนต์ซึ่งมีราคาสูงให้ไปโดยไม่ต้องมีหลักฐาน หากเป็นความจริงตามวิสัยผู้สุจริต จำเลยต้องรีบแจ้งผู้เสียหาย แจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานให้ติดตามผู้กระทำผิด และตามรถยนต์คืน แต่จำเลยไม่ได้ทำ ข้ออ้างว่าจำเลยได้แจ้งผู้เสียหายกับแจ้งความร้องทุกข์แล้วแต่เจ้าพนักงานไม่ยอมรับแจ้งนั้นไม่น่าเชื่อ ดังนี้เห็นว่าพยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนัก ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่อยู่ในครอบครองของจำเลยไปโดยทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอก หาใช่เป็นเพียงการกระทำผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก จำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนรถยนต์หรือใช้ราคารถยนต์ 2,238,009.25 บาท แก่ผู้เสียหาย

Share