คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5083/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อหาพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดจำคุกคนละ 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ปรับคนละ 60 บาท จึงเป็นการแก้ไขมาก แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีและศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยไม่เกินกำหนดที่ว่ามานั้น อีกทั้งมิได้พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยด้วย จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219จึงต้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 371, 91, 83, 33, 32 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 (ที่ถูกมาตรา 340 วรรคห้า), 340 ตรี,371, 91, 83, 33, 32 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ให้ลงโทษฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ1 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืน (ที่ถูกโดยมีหรือใช้อาวุธปืน) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามรวมโทษประหารชีวิตและจำคุก 1 ปี 6 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอดชีวิตและจำคุก 1 ปีจึงให้ลงโทษจำเลยทั้งสามจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ลงโทษปรับคนละ 90 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงปรับคนละ 60 บาท ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ รวมเป็นลงโทษจำเลยทั้งสาม จำคุกคนละตลอดชีวิต และปรับคนละ 60 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับข้อหาพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิวรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิวรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดจำคุกคนละ 6 เดือน ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกคนละ 4 เดือนศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ปรับคนละ 90 บาท ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ปรับคนละ 60 บาท จึงเป็นการแก้ไขมาก แต่ข้อหาความผิดนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกไม่เกินสองปี เมื่อศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยไม่เกินกำหนดที่ว่ามานี้ อีกทั้งมิได้พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยด้วย จึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสามในข้อหานี้นั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนข้อหาความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนทำการปล้นทรัพย์ตามฟ้องของผู้ตายทั้งสองเป็นเหตุให้ผู้ตายทั้งสองถึงแก่ความตายนั้นศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดในข้อหาความผิดฐานนี้จริง แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนกระเป๋าหนัง 1 ใบ และบัตรประจำตัวข้าราชการ 2 ใบ ราคา 100 บาท อาวุธปืน 1 กระบอก ราคา 500 บาทหากคืนไม่ได้ ให้ใช้ราคาแทน 1,100 บาท แก่ทายาทของผู้ตายนั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องให้ใช้ราคาแทน 600 บาท สมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยทั้งสามร่วมกันคืนกระเป๋าหนัง 1 ใบบัตรประจำตัวข้าราชการ 2 ใบ และอาวุธปืน 1 กระบอกไม่ได้ ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 600 บาท แก่ทายาทผู้ตายนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share