คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5072/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโคที่โจทก์นำยึดมีราคามากกว่าหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษา แม้น้องของจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลฟังว่าโคที่ถูกยึดเป็นของน้องของจำเลยที่ 1 โคจึงเป็นของจำเลยที่ 1 อยู่ และมีราคาพอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา ดังนั้น แม้จำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ไม่ว่าจะเป็นราคาเท่าไรก็ตาม ก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไม่ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 ไม่ผิดฐานโกงเจ้าหนี้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350,59 และ 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ก่อนสืบพยาน โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 จำคุก 4 เดือน
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ศาลจังหวัดราชบุรีขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าซื้ออาหารสัตว์จำนวน 45,650 บาท ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 อุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์ แต่ไม่นำหลักทรัพย์ไปวางเป็นประกันตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับ ต่อมาจำเลยที่ 1ได้โอนขายที่ดินของจำเลยที่ 1 ตามหนังสือ น.ส.3 ก. ซึ่งจำนองไว้แก่ธนาคารให้แก่นายแพทย์ประยูร จำเลยที่ 2 แล้วนำเงินไปชำระหนี้ให้แก่ธนาคารจนหมด เมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงบานบังคับคดีไปยึดที่ดินแปลงดังกล่าวจึงไม่อาจยึดได้ คงยึดได้แต่เพียงโค 5 ตัว ซึ่งต่อมาน้องชายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขัดทรัพย์เข้ามาในคดีทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และวินิจฉัยว่า เมื่อศาลจังหวัดราชบุรีพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 45,650 บาท โจทก์ได้นำยึดโคของจำเลย 5 ตัว ราคาประมาณ 60,000 บาท เห็นได้ว่าโค 5 ตัวที่โจทก์นำยึดมาเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์นั้นมีราคามากกว่าหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาที่โจทก์อ้างว่าน้องชายของจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์นั้น ก็ไม่ปรากฏว่าศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาว่า โคที่ถูกยึดเป็นของน้องชายของจำเลยที่ 1 จึงต้องถือว่าโคที่ถูกยึดยังเป็นของจำเลยที่ 1 อยู่ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดจึงมีราคาเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา ดังนั้น แม้จำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ไม่ว่าจะเป็นราคาเท่าไรก็ตาม ก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไม่ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้กระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน.

Share