คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3382/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยมีไม้กฤษณาหรือไม้หอมแปรรูปอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ข. ไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น โจทก์หาได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม้กฤษณาหรือไม้หอมเป็นของป่าหวงห้ามด้วยไม่ ทั้งคำขอท้ายฟ้องก็มิได้อ้างพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา29 ทวิ,71 ทวิ แต่ประการใด กรณีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้เพราะมิได้กล่าวในฟ้องและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ หาใช่เป็นเรื่องซึ่งโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตามวรรคห้าไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันมีไม้กฤษณาหรือไม้หอมแปรรูปจำนวน 34 กิโลกรัม ปริมาตร 0.34 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งไม้กฤษณาหรือไม้หอมเป็นไม้หวงห้ามประเภท ข. บัญชีที่ 7 ลำดับที่ 3 ตามพระราชกฤษฎีกา กำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2505 ไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ตามประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทำเกษตรลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2499 เรื่องกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 5 และจำเลยทั้งสองได้ทราบประกาศนี้แล้ว ทั้งนี้โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มีผู้แจ้งความนำเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมไม้กฤษณาหรือไม้หอมแปรรูปจำนวนดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7,48, 73, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4)พ.ศ. 2503 มาตรา 18 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518มาตรา 7, 19, 28 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522มาตรา 7, 9 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2525 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 สั่งริบของกลางและสั่งจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองมีไม้กฤษณาของกลางไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจำนวนไม่เกิน 0.2ลูกบาศก์เมตร จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง แต่ไม้กฤษณาของกลางเป็นของป่าหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดของป่าหวงห้าม พ.ศ. 2530 ซึ่งมีจำนวนเกิน 1/2 กิโลกรัม เกินกว่าปริมาณที่ให้มีไว้ในครอบครองโดยไม่ต้องรับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 22 มกราคม 2531 จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 29 ทวิ, 71 ทวิซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 29 ทวิ, 71 ทวิ, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวาพระราชบัญญัติ ป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 18 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 28 พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 7, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้บรรยายในฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีของป่าหวงห้ามเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนดและมิได้บรรยายถึงความมีอยู่และวิธีประกาศให้ถูกต้องตามมาตรา 5แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ด้วย จึงลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาดังกล่าวไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องและไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ทั้งมิใช่กรณีอ้างบทมาตราผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ส่วนไม้ของกลางให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลจะลงโทษจำเลยฐานมีของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนดโดยไม่ได้รับอนุญาตได้หรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยมีไม้กฤษณาหรือไม้หอมแปรรูปอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ข. ไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น โจทก์หาได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ไม้กฤษณาหรือไม้หอมเป็นของป่าหวงห้ามด้วยไม่ทั้งคำขอท้ายฟ้องก็มิได้อ้างพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 29 ทวิ, 71 ทวิ แต่ประการใด กรณีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้เพราะเป็นเรื่องที่มิได้กล่าวในฟ้องและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ หาใช่เป็นเรื่องซึ่งโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า ดังที่โจทก์ฎีกาไม่
พิพากษายืน.

Share