คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นหญิงสาวอายุ 15 ปี ผู้ตายเป็นชายหนุ่มอายุ 18 ปี ไม่มีภรรยา ขณะเกิดเหตุเป็นยามวิกาล ผู้ตายซึ่งดื่มสุราตั้งแต่ตอนเย็นคงจะเห็นโอกาสเหมาะที่จำเลยอยู่ ตามลำพังกับน้องสาวเล็กๆ จึงเข้าไปหาเพื่อแสดงความรักใคร่ ฉันชู้สาวจำเลยไม่ยินยอม จึงเกิดการขู่เข็ญและปลุกปล้ำกันขึ้น การที่มีดผู้ตายตกลงที่พื้น และจำเลยแย่งได้แล้วเหวี่ยงไปข้างหลัง 1 ที มีบาดแผลเพียงเล็กน้อยไม่ ทำให้ถึงตาย ย่อมเป็นการป้องกันสิทธิของตนซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่พอสมควรแก่เหตุเพราะหากไม่ กระทำ อาจถูกข่มขืนกระทำชำเราได้ แม้ผู้ตายจะเสียหลักพลัดตกลงไปในน้ำหมดสติจมน้ำถึงแก่ความตาย จำเลยก็ไม่มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยแทงผู้ตายเพื่อป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290, 69ประกอบด้วย มาตรา 75 จำคุก 4 ปี 6 เดือน ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือโทษจำคุก3 ปี ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุไม่มีความผิดพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน2523 เวลาบ่าย นายวันที่ สังขรัตน์ ผู้ตาย กับนายวันทน สังขรัตน์ พี่ชายของผู้ตาย ได้มาที่บ้านบิดามารดาจำเลยเพื่อหาซื้อเรือแปะมารดาจำเลยพาคนทั้งสองไปหาเรือแต่หาไม่ได้ จึงพากันกลับมาดื่มสุราอยู่ที่บ้านบิดามารดาจำเลยโดยมีบิดาจำเลยและนายชู ชมชื่น เพื่อนบ้านร่วมวงด้วย ครั้นเวลาประมาณ 18.00นาฬิกา บิดาจำเลยบอกให้จำเลยและน้องสาวอีกสองคนอายุ 11 ปี และ 12 ปีตามลำดับออกไปเฝ้าโรงนาของนายทวี สาลิตุล ซึ่งฝากบิดาจำเลยให้ช่วยดูแลระหว่างที่นายทวีไปธุระที่กรุงเทพมหานคร โรงนานี้อยู่ห่างบ้านจำเลยประมาณ1 กิโลเมตร จำเลยและน้องสาวก็พายเรือไป ส่วนผู้ตายกับพวกยังคงดื่มสุรากันต่อไป ครั้นเวลาประมาณ 21.00 นาฬิกา ผู้ตายก็ลงเรือไปโดยพูดกับพวกที่ยังอยู่ว่าจะไปถ่ายอุจจาระ เพราะที่บ้านจำเลยไม่มีส้วม ต่อมาพวกที่ร่วมดื่มสุราเห็นว่าผู้ตายไปนานผิดปกติ บิดาจำเลยกับนายชู ชมชื่น จึงนำเรือออกติดตามระหว่างทางพบจำเลยกับน้องสาวพายเรือกลับมาโดยจำเลยเล่าให้ฟังว่า ผู้ตายมีมีดไปขู่เข็ญและปลุกปล้ำที่โรงนา จำเลยขัดขืน ผู้ตายหลบหนีไป บิดาจำเลยจึงพาจำเลยไปแจ้งความต่อนายมานพ ชำนาญค้า ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในคืนเกิดเหตุ นายมานพนัดให้มาใหม่ในวันรุ่งขึ้น ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ 12พฤศจิกายน 2523 บิดาจำเลยกับนายวันทนพี่ชายผู้ตายมาหานายมานพผู้ใหญ่บ้าน เมื่อสอบถามกันแล้วนายวันทนไม่รู้เรื่อง นายมานพจึงให้นายวันทนไปตามบิดามารดาผู้ตายซึ่งมาหากินอยู่ที่กรุงเทพมหานครให้มาพูดตกลงกันเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ตายปลุกปล้ำจำเลย ต่อมามีผู้พบศพผู้ตายลอยปริ่มน้ำอยู่บริเวณโรงนา ผู้ตายมีบาดแผลถูกของแข็งมีคมที่สีข้างด้านขวากว้าง 1เซนติเมตร ยาว 3 เซนติเมตร ลึก 10.8 เซนติเมตร ลักษณะบาดแผลเฉี่ยวถากไป ไม่อาจทำให้ถึงตายได้ แพทย์สันนิษฐานว่าจมน้ำตายชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่า ผู้ตายปลุกปล้ำโดยใช้มีดขู่เข็ญ จำเลยพยายามดิ้นใช้มือผลักผู้ตายล้มลง แล้วผู้ตายกระโดดลงเรือ ต่อจากนั้นผู้ตายจะหนีไปทางไหนไม่ทราบ

จำเลยนำสืบว่า คืนเกิดเหตุขณะที่จำเลยและน้องสาวนอนอยู่ที่โรงนา ผู้ตายมาหาจำเลย จำเลยบอกว่าดึกแล้วให้ผู้ตายกลับไปผู้ตายไม่ยอมกลับและขึ้นมาบนแคร่ที่จำเลยนอน และชักมีดปลายแหลมยาวประมาณ 1 คืบ ออกมาจากเอว จ่อที่หน้าอกจำเลยและขู่ว่าอย่างร้องจำเลยร้องเรียกให้พ่อช่วยว่าผู้ตายเข้าปลุกปล้ำและต่อสู้ขัดขวางผู้ตายจนมีดผู้ตายหล่นลงที่พื้น จำเลยแย่งมีดได้แล้วเหวี่ยงไปทางข้างหลัง 1 ที ถูกผู้ตายแต่จะถูกตรงไหนไม่ทราบ ผู้ตายล้มลงไปทับน้องสาวจำเลย เมื่อน้องสาวจำเลยตื่นขึ้น ผู้ตายก็กระโดดลงเรือของผู้ตาย มีเสียงคล้ายเรือล่ม แต่ผู้ตายจะหนีไปทางไหนจำเลยไม่ทราบเพราะมืด ส่วนจำเลยรีบพาน้องลงเรือหนีกลับบ้าน ระหว่างทางพบบิดากับนายชูมาตามผู้ตาย จำเลยจึงเล่าเรืองให้ฟัง แล้วพากันไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านในคืนนั้น

พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบแล้ว คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุหรือไม่เห็นว่า ในขณะเกิดเหตุโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็น คงได้ความจากตัวจำเลยซึ่งเบิกความว่าผู้ตายเข้าไปปลุกปล้ำและใช้มีดขู่ไม่ให้จำเลยร้องหรือขัดขืนจำเลยดิ้นรนต่อสู้แย่งมีดจากผู้ตายได้ และเหวี่ยงมีดไปถูกผู้ตายด้านหลัง1 ที แล้วผู้ตายก็หลบหนีไป ข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบนี้เมื่อพิเคราะห์ถึงลักษณะบาดแผลที่มีเพียงรอยเฉี่ยวหรือรอยถากที่สีข้างด้านขวาเพียงแผลเดียว ซึ่งไม่ทำให้ถึงตาย ประกอบกับเมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยพาน้อง ๆ หลบหนีมา เมื่อบิดาก็เล่าเรื่องที่เกิดให้ฟัง แล้วพากันไปแจ้งความแก่ผู้ใหญ่บ้านในคืนเกิดเหตุ ทั้งผู้ตายและจำเลยตลอดจนครอบครัวของจำเลยก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน จึงไม่น่าระแวงสงสัยว่าจะเป็นการเสกสรรปั้นแต่งเรื่องขึ้นเพื่อให้จำเลยพ้นผิด เหตุผลที่สนับสนุนข้อนำสืบของจำเลยอีกอย่างหนึ่งก็คือจำเลยเป็นหญิงสาวอายุเพียง 17 ปี ผู้ตายเป็นชายหนุ่มอายุ 18 ปี และไม่มีภรรยา ขณะเกิดเหตุเป็นเวลายามวิกาลผู้ตายซึ่งดื่มสุราตั้งแต่ตอนเย็นคงจะเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จำเลยอยู่ตามลำพังกับน้องสาวเล็ก ๆ จึงเข้าไปหาเพื่อแสดงความรักใคร่ฉันชู้สาว หากแต่จำเลยขัดขืนไม่ยินยอมจึงเกิดการขู่เข็ญและปลุกปล้ำกันขึ้น การที่มีดผู้ตายตกลงที่พื้นและจำเลยแย่งได้แล้วเหวี่ยงไปข้างหลัง 1 ที มีบาดแผลเพียงเล็กน้อยไม่ทำให้ถึงตาย ย่อมเป็นการฟ้องกันสิทธิของตนซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่พอสมควรแก่เหตุเพราะถ้าหากจำเลยไม่กระทำก็อาจถูกผู้ตายข่มขืนกระทำชำเราได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share