คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1450/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ จำเลยที่ 2 และ ส. ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและได้ครอบครองร่วมกันตลอดมาจนกระทั่งส.ถึงแก่ความตาย ดังนี้ แม้ทายาทของ ส.ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งก็มีสิทธิฟ้องผู้จัดการมรดกของ ส. และจำเลยที่ 2 ให้แบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวได้ มิใช่เป็นการเรียกให้แบ่งทรัพย์สิน ในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 วรรค 3

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ จำเลยที่ 2 และนายสุทธิพงศ์ ศรีวิกรม์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดิน 12 แปลงและสิ่งปลูกสร้าง นายสุทธิพงศ์ถึงแก่กรรมไปแล้ว ซึ่งศาลแต่งตั้งให้นางสุรภีร์ โรจนวงศ์ คุณหญิงสมศรีเจริญรัชต์ภาคย์ และนายอุดมศักดิ์ ภาสะวณิชเป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ได้ขอให้จำเลยที่ 2 และผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์แบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้โจทก์ หรือขายแล้วเอาเงินมาแบ่งกัน แต่ตกลงกันไม่ได้ จึงขอให้ศาลพิพากษาให้ประมูลราคาที่ดินตามฟ้องรวม 12โฉนดพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างในระหว่างเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม หากตกลงกันไม่ได้ ให้เอาที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวขายทอดตลาดแล้วเอาเงินสุทธิแบ่งให้โจทก์ 1 ใน 3 ส่วน

นางสุรภีย์ โรจนวงศ์ ให้การว่า นายสุทธิพงศ์มีทายาทซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ของนางสุรภีย์อยู่ 4 คน ทายาทดังกล่าวไม่อาจทำนิติกรรมใด ๆเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และไม่อาจทำความตกลงในลักษณะประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์รวมได้ผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์ซึ่งเป็นตัวแทนจัดการทรัพย์สินของทายาทผู้เยาว์จึงไม่อาจทำความตกลงดังกล่าวเช่นกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องผู้จัดการมรดก ทรัพย์มรดกตามฟ้องเป็นมรดกตกทอดมาจากพระยาศรีวิกรมาฑิตย์ ซึ่งโจทก์ จำเลยที่ 2 และนายสุทธิพงศ์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันตลอดมาจนกระทั่งนายสุทธิพงศ์ถึงแก่กรรมไปแล้วกว่า 5 ปี ไม่เคยมีข้อโต้แย้งกัน โจทก์น่าจะรอจนกว่าทายาทส่วนมากของนายสุทธิพงศ์บรรลุนิติภาวะซึ่งจะเสียเวลาอีกไม่เกิน 8 ปี การที่โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์สินในขณะนี้เป็นการเรียกให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควร และที่ดินโฉนดที่ 3161 ซึ่งมีอาคารโรงแรมเพรสิเด้นส์มีราคากว่า 200 ล้านบาท ย่อมหาผู้เข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดได้ยาก การขอให้ประมูลราคากันในระหว่างเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมให้ทายาทผู้เยาว์ของนายสุทธิพงศ์เสียเปรียบเพราะไม่มีเงินและไม่อาจหาเงินมาประมูลได้ หากศาลเห็นควรให้แบ่งทรัพย์สินกันตามฟ้องก็ขอให้สั่งขายทอดตลาดแทนการประมูลราคากันในระหว่างเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์

นายอุดมศักดิ์ ภาสะวณิชให้การว่า จำเลยที่ 2 นายสุทธิพงศ์และโจทก์ทำสัญญาแบ่งสิทธิครอบครองที่ดินโฉนดที่ 3161 พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างเพื่อหาผลประโยชน์กันเป็นเวลา 30 ปี อันเป็นสัญญาต่างตอบแทน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งที่ดินโฉนดดังกล่าวพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้าง ส่วนที่ดินตามฟ้องอีก 11 แปลงนั้น ผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์ไม่อาจประมูลราคาได้เพราะไม่มีเงิน ควรให้ขายทอดตลาดไป

คุณหญิงสมศรี เจริญรัชต์ภาคย์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์และในฐานะจำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยเห็นพ้องด้วยกับโจทก์ที่ขอแบ่งที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมเว้นแต่ที่ดินโฉนดที่ 3161ที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ได้ปลูกสร้างโรงแรมลงในที่ดินดังกล่าว ซึ่งสิ่งปลูกสร้างนี้จะตกเป็นของเจ้าของที่ดินในปี พ.ศ. 2537 หากมีการประมูลหรือขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้ ก็ต้องยกเว้นสิ่งก่อสร้างของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว

ในวันนัดพร้อม โจทก์ขอถอนฟ้องเฉพาะที่ดินโฉนดที่ 3161 และสิ่งปลูกสร้างผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาตและศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยาน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง และถือไม่ได้ว่าเป็นการเรียกร้อง ขอแบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 วรรคท้าย พิพากษาให้แบ่งที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ฟ้อง ถ้าแบ่งไม่ได้ให้ประมูลราคาในระหว่างเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือขายทอดตลาดแล้วเอาเงินสุทธิแบ่งให้โจทก์ 1 ใน 3 ส่วน

นางสุรภีร์ โรจนวงศ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ควรรอการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมไว้จนกว่าทายาทส่วนมากของนายสุทธิพงศ์บรรลุนิติภาวะเสียก่อนที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งในขณะนี้ถือได้ว่าเป็นการเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควร พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ จำเลยที่ 2 และนายสุทธิพงศ์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง เมื่อนายสุทธิพงศ์ถึงแก่ความตายและศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนหนึ่งมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 2 และผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์แบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องได้การที่โจทก์ครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ 2และนายสุทธิพงศ์ตลอดมา จนกระทั่งนายสุทธิพงศ์ถึงแก่ความตายและโจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ในขณะที่ทายาทของนายสุทธิพงศ์ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ไม่ใช่เป็นการเรียกให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1363 วรรคสาม

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share