แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยถึงแก่กรรมในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ศาลชั้นต้นต้องส่งคำร้องขอให้หมายเรียกทายาทเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยผู้มรณะไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 5 เพื่อพิจารณาสั่ง แต่ศาลชั้นต้นมิได้ส่งคำร้องไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 5 จนกระทั่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 ทำคำพิพากษาเสร็จแล้วส่งมาให้ศาลชั้นต้นอ่านจึงถือไม่ได้ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 5 ทราบเรื่องจำเลยมรณะอันจะทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไปโดยทราบแล้วว่าจำเลยมรณะและยังไม่มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 แล้วให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เพื่อดำเนินการตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 ต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 12 ตำบลหนองป่าครั่ง อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยให้การว่า ที่ดินตาม น.ส.3 พร้อมทั้งบ้านพิพาทเป็นของบุคคลอื่น ซึ่งครอบครองทำประโยชน์และอยู่อาศัยโดยสงบเปิดเผย โดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์ไม่ใช่เจ้าของ จำเลยไม่เคยตกลงจะซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากโจทก์ จำเลยย้ายทะเบียนออกจากบ้านพิพาทตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2530 และไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินและบ้านพิพาทอีก โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โดยผู้ร้องสอดเข้าครอบครองทำประโยชน์และอยู่อาศัยโดยสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี ขอให้สั่งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องสอด ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์ให้การแก้คำร้องสอดว่า ผู้ร้องสอดไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามที่ปรากฏในคำฟ้องและคำร้องสอด รวมทั้งไม่เคยใช้สิทธิในฐานะเป็นเจ้าของแท้จริง ขอให้ยกคำร้องสอด
จำเลยให้การแก้คำร้องสอดว่า บ้านและที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนางสมจิตร วิจิตร ซึ่งเป็นภรรยาของจำเลยและเป็นมารดาของผู้ร้องสอด ต่อมาจำเลยและนางสมจิตรหย่ากัน โดยนางสมจิตรตกลงยกบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องสอด ขอให้พิพากษาว่าบ้านและที่ดินพิพาทตามฟ้องเป็นของผู้ร้องสอด ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและผู้ร้องสอดออกจากบ้านและที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 12 ตำบลหนองป่าครั่ง อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ตามฟ้องของโจทก์ ให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์จำนวน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์เดือนละ 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินตามฟ้องโจทก์
จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยและผู้ร้องสอดว่า การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนว่าเมื่อจำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลชั้นต้นนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในวันที่ 15 สิงหาคม 2544 เมื่อถึงวันนัดทนายจำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2544 ตามสำเนาใบมรณะบัตรท้ายคำร้องและทนายจำเลยติดต่อให้นายสิทธิชัย ไชยนันท์ บุตรนอกกฎหมายที่ผู้ตายรับรองแล้วเข้าเป็นคู่ความแทน แต่นายสิทธิชัยอ้างว่าต้องให้ศาลมีหมายเรียกเสียก่อน ทนายจำเลยจึงขอให้ศาลออกหมายเรียกนายสิทธิชัยเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยผู้มรณะ ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาในวันเดียวกันนั้นว่า “จำเลยมรณะก่อนศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา จึงไม่อาจดำเนินการอ่านคำสั่งในวันนี้ได้ ให้รวมคำร้องส่งศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป และส่งคำสั่งคืนศาลอุทธรณ์ด้วย ให้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ หากจะคัดค้านประการใดให้ยื่นภายใน 15 วัน นับแต่วันรับสำเนาคำรอ้ง เมื่อครบกำหนดให้ส่งคำร้องต่อศาลอุทธรณ์” โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องของทนายจำเลยแล้วไม่ยื่นคำคัดค้าน แต่ศาลชั้นต้นก็มิได้ส่งคำร้องของทนายจำเลยไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 5 เพื่อพิจารณาสั่ง จนกระทั่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 ทำคำพิพากษาเสร็จแล้วส่งมาให้ศาลชั้นต้นอ่าน และศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้โจทก์ฟังเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2545 กรณีจึงถือไม่ได้ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 5 ทราบเรื่องจำเลยมรณะอันจะทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ตามการที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไปโดยทราบอยู่แล้วว่าจำเลยมรณะและยังไม่มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนจึงเป็นการไม่ชอบ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยและผู้ร้องสอด”
พิพากษาให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2545 ของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นส่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ต่อไป