คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2860/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทราบว่าไม้หวงห้ามของกลางเป็นไม้ที่มีคนลักลอบตัดแต่มิได้เป็นเจ้าของไม้ของกลาง เพียงแต่รับจ้างเฝ้าเพื่อประโยชน์ที่จะได้รับค่าจ้างเท่านั้นและจำเลยถูกจับขณะที่เฝ้าไม้หวงห้ามของกลางอยู่ ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีไม้ของกลางไว้ในความครอบครองอันจะต้องได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติ ป่าไม้ แต่เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายจ้างซึ่งเป็นผู้มีไม้ไว้ในความครอบครองจำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2524 เวลากลางวันจำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยกับพวกที่ไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันทำไม้โดยทำการตัดฟันและเลื่อยไม้รัง ที่ในบริเวณป่าเชียงดาวซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ และร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้ทำการแปรรูปไม้หวงห้ามขึ้น 1 โรง ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้กับร่วมกันที่ไม้รังท่อนยังมิได้แปรรูป จำนวน 13 ท่อนปริมาตรเนื้อไม้ 3.32 ลูกบาศก์เมตร ไม้พลวงท่อนยังมิได้แปรรูป จำนวน 16 ท่อน ปริมาตรเนื้อไม้ 6.88 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไว้ในครอบครองโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวง หรือรอยตรารัฐบาลขาย ในวันเวลาดังกล่าวเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยไม้ดังกล่าว กับยึดได้เครื่องสูบน้ำดัดแปลงขนาด 4 แรงม้า 1 เครื่อง เลื่อยวงเดือน 1 ปื้น สายพานเครื่องยนต์ 1 สาย ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร 1 ใบ เหล็กแกน 2 อัน ซึ่งเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเลยใช้กระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษและขอให้ริบไม้กับเครื่องมือเครื่องใช้ของกลางทั้งหมด

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกทำไม้และตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยมิได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาจำเลยมีไม้ของกลางไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตพยานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2485 มาตรา 69 พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 7)พ.ศ. 2525 มาตรา 3 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ซึ่งเป็นคุณกว่าจำคุก 7 ปี เครื่องมือเครื่องใช้ของกลางให้ริบ ยกฟ้องความผิดฐานอื่น

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีไม้หวงห้ามของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย จึงพิพากษายกฟ้องข้อหาดังกล่าวอีกข้อหาหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาจะต้องวินิจฉัยในชั้นศาลฎีกามีเพียงว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานมีไม้ของกลางไว้ในครอบครองตามฟ้องหรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าในวันเวลาเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลยได้ในเพิงหลังหนึ่งในป่าเหล่าฮอม ซึ่งอยู่ในป่าเชียวดาวอันเป็นป่าสงวนแห่งชาติมีไม้รัง 13 ท่อน ปริมาตร 3.32 ลูกบาศก์เมตร ไม้พลวง 16 ท่อน ปริมาตร 6.88 ลูกบาศก์เมตร ของกลางซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. เป็นไม้ท่อนตัดใหม่ไม่มีรูปรอยหรือตราของเจ้าหน้าที่ประทับกองอยู่ใกล้เพิง โจทก์มีจ่าสิบตำรวจสุทัศน์ คำพันธ์ พลตำรวจพนม สนสร้อย และพลตำรวจมงคล เผือกแก้ว เป็นพยานว่า พยานโจทก์ทั้งสามกับตำรวจอื่นรวม 11 นาย พากันแอบซุ่มอยู่ใกล้เพิงที่เกิดเหตุประมาณ 20 นาที มีจำเลยเดินถือถังน้ำไปที่เพิงแล้วเข้าไปปัดกวาดทำความสะอาดเพิงนั้น จึงเข้าจับกุมจำเลยได้พร้อมเครื่องยนต์เลื่อยวงเดือนและอุปกรณ์อื่นสำหรับการทำไม้กับมีไม้หวงห้ามและไม้แปรรูปของกลางจำนวนมากในบริเวณใกล้ ๆ เพิงและในเพิง พยานโจทก์ต่างไม่รู้จักจำเลยจึงไม่มีเหตุจะเบิกความกลั่นแกล้งปรักปรำในชั้นจับกุมจำเลยให้การรับว่าไม้หวงห้าม และเครื่องตัดฟันไม้ของกลางเป็นของนายศักดิ์จำเลยเป็นผู้รับจ้างเฝ้าดูแลรักษาตามบันทึกจับกุม เอกสารหมาย จ.2 ชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การตรงกับชั้นจับกุมตามคำให้การเอกสารหมาย จ.7 จำเลยมิได้นำสืบว่าไม่ได้ให้การชั้นจับกุมดังกล่าว คงนำสืบแต่เพียงว่าชั้นสอบสวนตำรวจเอากระดาษเปล่ามาให้จำเลยลงชื่อ แต่ชั้นสอบสวนตำรวจสอบสวนจำเลยไว้ 2 ครั้ง โดยจำเลยลงชื่อไว้ใต้ข้อความทั้งสองครั้งได้พอดีกับข้อความไม่มีช่องเว้นว่าง จำเลยอ้างว่าครั้งแรกตำรวจนำกระดาษเปล่ามาให้ลงชื่อ เห็นว่าไม่มีทางที่ตำรวจจะให้จำเลยลงชื่อในกระดาษเปล่าได้ เพราะตำรวจไม่อาจกรอกข้อความเอาเองให้พอดีกับช่องว่างในกระดาษที่จำเลยอ้างว่าลงชื่อไว้เช่นนั้นได้ เชื่อว่าจำเลยให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนโดยสมัครใจตามความเป็นจริง ไม้ของกลางเป็นไม้ตัดใหม่มีจำนวนมากและอยู่ในป่าทึบ จำเลยเป็นคนท้องที่เกิดเหตุย่อมทราบดีว่าป่านั้นเป็นป่าสงวนแห่งชาติและทราบว่าไม้หวงห้ามของกลางเป็นไม้ที่มีคนลักลอบตัด ที่จำเลยนำสืบว่าวันเวลาเกิดเหตุจำเลยเดินจะไปนำจำเลยมีฝนตกหนัก จำเลยหลบฝนเข้าไปในเพิ่งก็ถูกจับกุม ครั้งนี้นั้นขัดกับคำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลย ข้อนำสืบของจำเลยจึงรับฟังไม่ได้ คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยประกอบพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้มั่นคงว่า จำเลยถูกจับขณะที่เฝ้าไม้หวงห้ามของกลาง จำเลยเป็นคนยากจน เชื่อว่า มิได้เป็นเจ้าของไม้ของกลางเพียงแต่รับจ้างเฝ้าเพื่อประโยชน์ที่จะได้รับค่าจ้างเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นผู้มีไม้ของกลางไว้ในครอบครองอันจะต้องได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ แต่เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายจ้างซึ่งเป็นผู้มีไม้ไว้ในครอบครอง จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 69 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 และพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2525 มาตรา 3 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 7)พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 จำคุก 1 ปี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share