แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระหว่างเป็นความกันในคดีก่อนเรื่องแย่งสิทธิครอบครองในที่พิพาทนั้นโจทก์จำเลยได้ตกลงประมูลเข้าทำสวนยางและ นาพิพาท โดยตกลงกันให้นำเงินที่ประมูลได้มาวางศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุดเพื่อให้ฝ่ายชนะคดีรับไป โจทก์เสนอราคาปีละ 16,000 บาท จำเลยเสนอราคาปีละ 16,500 บาทจึงเป็นฝ่ายประมูลได้ ศาลได้จดบันทึกข้อตกลงระหว่างคู่ความไว้ว่าจำเลยจะต้องนำเงินมาวางศาลภายในเดือนพฤษภาคมของทุกปีเริ่มตั้งแต่ปี 2520เป็นต้นไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เมื่อคดีก่อนได้ถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกาโดยเพิ่งอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2523 และจำเลยได้ชำระค่าประมูลในปี 2520 แล้ว ก็มีหน้าที่ต้องชำระค่าประมูลสำหรับปี 2521, 2522 และ 2523 ตามข้อตกลงที่ทำไว้ต่อหน้าศาลซึ่งมีผลบังคับได้ ส่วนที่ข้อตกลงนั้นได้มีเงื่อนไขไว้ด้วยว่าหากจำเลยผิดนัดยอมให้โจทก์เข้าทำประโยชน์โดยนำเงินมาวางศาลปีละ16,000 บาทนั้น เป็นเงื่อนไขที่บังคับไว้ในกรณีที่จำเลยผิดนัดสำหรับค่าประมูลในปีเริ่มต้นคือในปี 2520 นั้นเอง แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ชำระค่าประมูลในปี 2520 แล้ว ปัญหาที่โจทก์จะเข้าทำประโยชน์เสียเองในที่พิพาทจึงหมดไป
ที่โจทก์ฎีกาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพิ่มขึ้นโดยรวมค่าจ้างทนายความค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดจนการที่จำเลยทำให้ต้นยางของโจทก์เสียหายนั้น โจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเกี่ยวกับค่าเสียหายเหล่านี้มาโดยชัดแจ้งในฎีกาว่า ศาลล่างพิพากษามาโดยไม่ชอบอย่างไร โดยเฉพาะโจทก์มิได้ กล่าวมาโดยชัดแจ้งตั้งแต่ในชั้นอุทธรณ์จนศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้มาแล้ว ฎีกาส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยในข้อหาแย่งสิทธิครอบครองที่ดินคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ในคดีนี้นั้นจำเลยได้ประมูลการเข้าทำประโยชน์ที่ดินพิพาทในระหว่างเป็นความปีละ ๑๖,๐๐๐ บาท โดยจะวางเงินภายในเดือนพฤษภาคม ของทุกปีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด แต่จำเลยค้างชำระมา ๔๘,๐๐๐ บาท และทำให้โจทก์เสียค่าจ้างทนายความและค่าใช้จ่าย๑๗,๐๐๐ บาท กับทำให้ต้นยางและต้นไม้อื่นเสียหาย ๒๕,๐๐๐ บาท ขอบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๙๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้วางเงินต่อศาลแล้ว ๑๖,๕๐๐ บาท และมิได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอีกตั้งแต่ปีต่อมา จึงไม่ต้องชำระเงินให้โจทก์เกินกว่านี้อีก
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกได้เพียงค่าเข้าทำประโยชน์ในปี ๒๕๒๑ ที่จำเลยค้างชำระอยู่เท่านั้น พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑๖,๕๐๐บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยยังคงค้างชำระเงินค่าประมูลที่จะต้องวางศาลต่อในปี ๒๕๒๑ อีก ๖ เดือน พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระเงิน๘,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาในคดีแดงที่ ๑๐๖/๒๕๒๐ ว่า ระหว่างที่เป็นความกันในคดีนั้น โจทก์จำเลยได้ตกลงประมูลเข้าทำสวนยางและนาพิพาทโดยให้นำเงินที่ประมูลได้มาวางศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุดเพื่อให้ฝ่ายชนะคดีรับไป โจทก์เสนอราคาปีละ ๑๖,๐๐๐ บาทจำเลยเสนอราคาปีละ ๑๖,๕๐๐ บาทจึงเป็นฝ่ายประมูลได้ ศาลได้จดบันทึกข้อตกลงระหว่างคู่ความไว้ว่าจำเลยจะต้องนำเงิน ๑๖,๕๐๐ บาทมาวางศาลภายในเดือนพฤษภาคมของทุกปีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด สำหรับในปี ๒๕๒๐ นั้นจะนำเงินมาวางศาลภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๒๐ หากผิดนัดยอมให้บังคับคดีได้ทันทีและยอมให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทในปีถัดไปโดยนำเงินมาวางศาลปีละ ๑๖,๐๐๐ บาทตามที่โจทก์เสนอไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดในเงื่อนไขและเวลาอย่างเดียวกัน หลังจากนั้นจำเลยได้นำเงินค่าเข้าทำประโยชน์ในปี ๒๕๒๐มาวางศาลไว้เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ต่อมาวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๒๑ จำเลยยื่นคำร้องว่าไม่ประสงค์จะเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อไป ขอให้เรียกโจทก์มาทำความตกลง โจทก์คัดค้านว่าตามข้อตกลงจำเลยมีหน้าที่ต้องวางเงินทุกปีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด จะเลิกสัญญาระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดไม่ได้ ศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งชี้ขาดอย่างใด คงบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่าได้ฟ้องเป็นคดีใหม่แล้ว คู่ความจะไปว่ากล่าวกันในคดีใหม่ต่อไป
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อตกลงที่ศาลบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณามีข้อความชัดว่าฝ่ายที่ประมูลได้จะต้องนำเงินมาวางศาลภายในเดือนพฤษภาคมของทุกปีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายประมูลได้จึงต้องปฏิบัติตามสัญญาทุกปีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด คดีระหว่างโจทก์จำเลยได้ถึงที่สุดโดยเพิ่งอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๒๓ จำเลยจึงต้องชำระเงินค่าเข้าทำประโยชน์ในปี ๒๕๒๑, ๒๕๒๒ และ ๒๕๒๓ เป็นเงินปีละ ๑๖,๕๐๐ บาทตามข้อตกลง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจบังคับให้จำเลยเข้าทำประโยชน์นั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ไม่ได้บังคับให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ แต่บังคับให้จำเลยเสียค่าประมูลการเข้าทำประโยชน์ตามที่ตกลงไว้ต่างหาก เมื่อจำเลยตกลงจ่ายค่าประมูลการเข้าทำประโยชน์โดยศาลได้จดบันทึกข้อตกลงของจำเลยไว้ประการใด ข้อตกลงนั้นย่อมมีผลบังคับได้ ส่วนที่ข้อตกลงนั้นมีเงื่อนไขไว้ด้วยว่า หากจำเลยผิดนัดยอมให้โจทก์เข้าทำประโยชน์โดยนำเงินมาวางศาลปีละ ๑๖,๐๐๐ บาท นั้น เป็นเงื่อนไขบังคับไว้ในกรณีที่จำเลยผิดนัดสำหรับค่าประมูลในปีเริ่มต้นคือในปี ๒๕๒๐ นั้นเอง แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ชำระค่าประมูลในปี ๒๕๒๐ แล้ว ปัญหาที่โจทก์จะเข้าทำประโยชน์เสียเองในที่พิพาทจึงหมดไปเมื่อจำเลยเป็นฝ่ายประมูลได้และชำระค่าประมูลในปี ๒๕๒๐ ซึ่งเป็นปีเริ่มแรกแล้วก็มีหน้าที่ต้องชำระค่าประมูลสำหรับปีถัดไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ที่โจทก์ฎีกาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพิ่มขึ้นเป็น ๙๐,๐๐๐ บาท โดยรวมค่าเสียหายที่โจทก์ต้องเสียค่าจ้างทนายความ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดจนการที่จำเลยทำให้ต้นยางของโจทก์เสียหายนั้น โจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเกี่ยวกับค่าเสียหายเหล่านี้มาโดยชัดแจ้งในฎีกาว่า ศาลล่างพิพากษามาโดยไม่ชอบอย่างไรโดยเฉพาะโจทก์มิได้กล่าวมาโดยชัดแจ้งตั้งแต่ในชั้นอุทธรณ์จนศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้มาแล้ว ดังนั้นฎีกาของโจทก์ส่วนนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าประมูลการเข้าทำประโยชน์ในปี ๒๕๒๑, ๒๕๒๒, ๒๕๒๓ รวมเป็นเงิน ๔๘,๐๐๐ บาท เท่าที่โจทก์ขอมาพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์