แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 26 สิงหาคม 2536จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่ศาลขยายเวลาให้ ส่วนจำเลยที่ 3 มิได้ขอขยายเวลา จึงรับเป็นฎีกาเฉพาะของ จำเลยที่ 1 ที่ 2 สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ไม่รับ
นายฉลอง จันทร์หอม ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2536โดยอ้างว่าเป็นทนายจำเลยทั้งสาม แต่ในคำร้องขอขยายระยะเวลา ฎีกานั้น ได้พิมพ์จำเลยที่ 3 ตกหล่น ไป เพื่อให้ความเป็นธรรม แก่จำเลยที่ 3 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาและคำร้องขอทุเลาการ บังคับคดีของจำเลยที่ 3 ด้วย และจำเลยที่ 3ขอใช้หลักทรัพย์ ซึ่งได้จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ในคดีนี้ไว้กับโจทก์ เป็นประกันต่อศาลในการอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า หลักประกันที่จำเลยที่ 3 อ้างตามคำร้องเป็นทรัพย์พิพาทในคดีนี้ หาใช่หลักประกันตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงให้จำเลยที่ 3เสนอหลักประกันเข้ามาใหม่
จำเลยที่ 3 เห็นว่า ถ้อยคำและความมุ่งหมายของกฎหมายไม่มีส่วนใดห้ามไม่ให้นำทรัพย์ที่จดทะเบียนจำนองไว้มาใช้เป็นหลักประกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234และหลักทรัพย์ที่จำเลยที่ 3 จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ไว้กับโจทก์ มีราคาเกินกว่าจำนวนเงินตามคำพิพากษาอยู่หลายเท่าตัว โปรดมีคำสั่งให้รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 ไว้พิจารณา โดยอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ใช้ทรัพย์จำนองเป็นหลักประกันในการอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วแถลงคัดค้าน(อันดับ 92)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตาม บัญชีเดินสะพัดแก่โจทก์ จำนวน 14,509.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 เมษายน 2530 จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมิให้เกิน 3,416.74 บาท และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามสัญญากู้จำนวน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมิให้เกิน 480,821.85 บาท หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์สิน ของจำเลยที่ 3 คือที่ดินโฉนดเลขที่ 7605เลขที่ดิน 1106 ตำบลช่องนนทรีย์ (บางโพงพาง) อำเภอยานนาวา กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ในฐานะเจ้าหนี้จำนองในวงเงินต้น 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในเงินต้นจำนวนดังกล่าว หากไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระ หนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาเฉพาะของจำเลยที่ 1 ที่ 2(อันดับ 83)
ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 3 โดยใช้หลักทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ในคดีนี้ไว้กับโจทก์เป็นประกันต่อศาลในการอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้เสนอหลักประกันเข้ามาใหม่ (อันดับ 85)
ทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงยื่นคำร้องนี้(อันดับ 87)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้จำเลยที่ 3 ถือเอาทรัพย์ที่จำนองเป็นประกันได้ แต่ให้ศาลชั้นต้นตีราคาหลักทรัพย์ที่จำนองว่าพอกับจำนวนหนี้ที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ ถ้าไม่พอก็ให้จำเลยที่ 3 วางเงินหรือหาหลักประกันมาเพิ่มให้ เป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็ให้รับคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 3 ถ้าจำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติ ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นก็ให้ยกคำร้อง